tag:blogger.com,1999:blog-70503735010040456622024-03-19T11:38:51.246-07:00เยรูซาเล็มเมืองหลวงที่แท้จริงของโลกอิสราเอล ประวัติศาสตร์ ยิว เยรูซาเล็ม อิสราเอล ประวัติศาสตร์ ยิว เยรูซาเล็ม อิสราเอล ประวัติศาสตร์ ยิว เยรูซาเล็ม อิสราเอล ประวัติศาสตร์ ยิว เยรูซาเล็มประวัตศาสตร์ยาวนานที่สุดในโลกเข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.comBlogger26125tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-1990609573513174782009-10-07T23:40:00.000-07:002009-10-08T01:53:54.418-07:00ไซออนิสต์ (Zionist)<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibcLkxNmZ4Ql9xuVgYeZIUGlvZL-MzDDY-OHOopqYm2Llk4D9XAsCdtJzp6CUrYw7Rdl2j7lqCNqjtgZR7t3K3xjBSpo0-gCqdCQp1yjOULkFHmD-LMCjwtn3CVynU5PuyZO8vLlmCM-Xw/s1600-h/PDVD_010.BMP"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 400px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibcLkxNmZ4Ql9xuVgYeZIUGlvZL-MzDDY-OHOopqYm2Llk4D9XAsCdtJzp6CUrYw7Rdl2j7lqCNqjtgZR7t3K3xjBSpo0-gCqdCQp1yjOULkFHmD-LMCjwtn3CVynU5PuyZO8vLlmCM-Xw/s400/PDVD_010.BMP" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5390148457413858290" border="0" /></a><br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihLJEuppod6hcohuESmXebpnzdElEU4e1OOo0LWuWadc_P757_lxGxpJ6Ns9_xIq-JgezzYgljpUQ-33YlunaDB1q7ho-NSY5wP7xdN-VGkw3ow5_xtAQaJM_PfnpywPnvCWEOVJhnAz-B/s1600-h/PDVD_014.BMP"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 400px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihLJEuppod6hcohuESmXebpnzdElEU4e1OOo0LWuWadc_P757_lxGxpJ6Ns9_xIq-JgezzYgljpUQ-33YlunaDB1q7ho-NSY5wP7xdN-VGkw3ow5_xtAQaJM_PfnpywPnvCWEOVJhnAz-B/s400/PDVD_014.BMP" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5390144126071292946" border="0" /></a><br /><p class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0.0001pt; line-height: normal; color: rgb(255, 0, 0);font-family:verdana;"><span style="font-size:100%;"><span style="font-weight: bold; text-decoration: underline;font-size:12pt;" lang="TH" >"ลัทธิไซออนิสต"์ หรือ "องค์การไซออนิสต์ (</span><span style="font-size:12pt;"><span style="text-decoration: underline; font-weight: bold;">Zionist)" </span><span lang="TH"><span style="text-decoration: underline; font-weight: bold;">ยุคใหม่</span> ก่อตั้งโดยนายธีโอดอร์ เฮอร์เซิล (</span></span><span style="font-size:12pt;">Theodor Herzl: </span><span lang="TH" style="font-size:12pt;">เกิดที่บูดาเปส ปี ค.ศ.</span><span style="font-size:12pt;">1860 <span lang="TH">แล้วย้ายไปอยู่ที่กรุงเวียนนา ในปี ค.ศ.</span>1895 <span lang="TH">เสียชีวิตในเมือง โอลาค เมื่อ </span>2 <span lang="TH">ก.ค. </span>1904 <span lang="TH">ศพ ของเขาถูกย้ายไปยังปาเลสไตน์และฝังที่นั่น) ด้วยเจตนาที่จะรื้อฟื้นสิ่งที่พวกเขาคิดว่า เป็นแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เป็นการเฉพาะแก่พวกยิว (แผ่นดินแห่งพันธสัญญา)<br /></span></span></span></p><span style="color: rgb(255, 0, 0);font-family:verdana;font-size:100%;" ><br /><span style="text-decoration: underline;"></span><span lang="TH" style="font-size:12pt;"><o:p></o:p>เพื่อสานต่อแนวคิดไซออนิสต์ในอดีต</span><span style="font-size:12pt;"> <span lang="TH"> เฮอร์เซิล จุดประกายความฝันให้กับชาวยิวทั้งโลกด้วยหนังสือชื่อว่า </span><span style="font-weight: bold;">“Der Judenstaat” </span><span lang="TH">หรือ </span><span style="font-weight: bold;">“The Jewish State” </span><span lang="TH">ที่ฉายภาพ </span><span style="font-weight: bold;">“รัฐยิว”</span><span lang="TH"><span style="font-weight: bold;"> </span>ในจินตนาการให้คนยิวและชาวโลกได้เห็น</span> <span lang="TH"> สิ่งที่เขาเน้นในหนังสือเล่มนี้คือ ชาวยิวจะต้องรับโทษประหัตประหารหรือตามเข่นฆ่าอยู่เสมอ</span> <span lang="TH">ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้มีประโยชน์ต่อประเทศชาติที่เขาอาศัยอยู่เพียงใดก็ตาม นอกเสียจากว่าชาวยิวจะมีประเทศเป็นของตนเอง</span> <span lang="TH"> ภาพร่างการก่อกำเนิดประเทศยิวของเฮอร์เซิล คือ รวบรวมและอพยพชาวยิวไปยังดินแดนหนึ่ง และทำสัญญากับมหาอำนาจในยุโรปเพื่อประกันสิทธิในดินแดนนั้น รวมทั้งต้องมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการอพยพ และตั้งถิ่นฐานใหม่นี้ด้วย และองค์กรที่ว่านี้คือ<span style="font-weight: bold;"> </span></span><span style="font-weight: bold;">“ไซออนิสต์” </span><span lang="TH">นั่นเอง<br /><br /></span></span></span><br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">การขับเคลื่อนองค์กรของลัทธิไซออนิสต์ ในการไปสู่จุดหมายตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ขั้นตอนนั้นจะต้องสร้าง “คน” โดยการคัดเลือกกลุ่มเยาวชนยิวที่มีคุณภาพดีที่สุด เข้าสู่ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพมากที่สุด ส่งเสริมกลุ่มเยาวชนยิวที่มีคุณภาพการศึกษาดีที่สุด เข้าสู่กระบวนการอุดมศึกษาที่ดีที่สุดในโลก (ฮาวาร์ด, เคม บริดจ์, ออกซ์ฟอร์ด , เอ็มไอที ฯลฯ) สนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มเยาวชนยิวที่มีคุณภาพเหล่านี้เข้าทำงานในหน่วยงาน ต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเมืองและเศรษฐกิจของทั้งยุโรปและอเมริกา และของโลก (UN, FBI, CIA ฯลฯ)</span><br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">ไซออนิสต์ มีสมาคมและองค์กรทั้งลับและไม่ลับอีกเป็นจำนวนมากทั้งในยุโรปและอเมริกา และตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก (สโมสรไลออนส์, สโมสรโรตารี่) ปฏิบัติงานในทุก ๆ ด้าน<br /><br /></span><br />ว่ากันว่า หากจะทำความเข้าใจถึงรากเหง้าของการก่อตั้งรัฐอิสราเอล ก็คงจะต้องศึกษาแนวคิดและอุดมการณ์ของขบวนการยิวไซออนิตส์ (Zionism)<br /><br />เพราะหากปราศจากขบวนการนี้ชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ตามดินแดนและภูมิภาค ต่างๆ ทั่วโลกเมื่อครั้นอดีต ก็คงไม่สามารถเข้ามารวมตัวกันจัดตั้งรัฐยิวในดินแดนปาเลสไตน์ได้<br /><br />นอกจากนั้น การศึกษาถึงพัฒนาการแนวคิดของขบวนการยิวไซออนิสต์ยังจะช่วยให้เราเข้าใจถึง การรวมกลุ่มเป็นพรรคการเมืองต่างๆ ที่แสดงบทบาทโดดเด่นอยู่ในอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างที่เราเห็นกันใน ปัจจุบัน<br /><br />ไซออนิสต์เป็นขบวนการของชาวยิวยุโรปที่ก่อตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษ ที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของชนชั้น กระฎุมพี ขึ้นมามีอำนาจแทนที่ระบบเศรษฐกิจของชนชั้นศักดินา (Feudal) ในยุโรป และเป็นช่วงที่ระบบทางการเมืองและสังคมของพวกศักดินาถูกแทนที่ในยุโรปด้วย ระบบรัฐ-ชาติ<br /><br />จากภาวะความสับสนที่เกิดขึ้นในยุโรปและการถูกทำลายของระบบศักดินา ทำให้ตำแหน่งแห่งที่ตั้งเดิมของชุมชนชาวยิวค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยถูกกีดกันทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ก็กลายเป็นกลุ่มคนที่มีเสรีภาพ ทำให้ชาวยิวมีความมั่งคั่ง และมีบทบาทอิทธิพลในสังคมยุโรปมากขึ้น<br /><br />โดยผลสะท้อนที่เกิดตามมาคือการก่อกำเนิดของขบวนการยิวไซออนิสต์<br /><br />ขบวนการไซออนิสต์ ในฐานะที่เป็นกรอบแนวคิดหรืออุดมการณ์นั้น ได้รับการตีความหมายในหลากหลายแง่มุม<br /><br />สำหรับบางคน ไซออนิสต์คือการเรียกร้องความเป็นชาติของชาวยิวทั้งหมด<br /><br />ฉะนั้น หากมองในมุมนี้ การเรียกร้องของไซออนิสต์ก็อาจมีความชอบธรรมอยู่บ้าง<br /><br />แต่สำหรับอีกหลายๆ คนแล้ว อุดมการณ์ไซออนิสต์มีความสำคัญน้อยกว่าคุณค่าสากล (Universal value) ไม่ว่าคุณค่าเหล่านั้นจะได้มาจากศาสนายูดาห์ จากพวกมนุษยนิยมเสรี (liberal Humanism) หรือจากชนชั้นกรรมาชีพสากลก็ตาม<br /><br />สำหรับพวกที่เชื่อในคุณค่าสากลของมนุษยชาติและชนชั้นกรรมาชีพสากลแล้ว ถือว่าผลกระทบของการกำเนิดขบวนการไซออนิสต์เป็นไปในทางลบต่อสังคมโลกมากกว่า<br /><br />นับจากช่วงแรกๆ ของการก่อตั้งขบวนการไซออนิสต์ (ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของชาวยิวฝ่ายต่างๆ) พวกเขาก็มีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือการส่งเสริมการตั้งถิ่นฐานชาวยิวขึ้นในดินแดนปาเลสไตน์<br /><br />แต่ในรายละเอียดของเป้าหมายนั้นมีความแตกต่างกันไปในแต่ละฝ่าย ทั้งนี้เป็นเพราะไซออนิสต์ประกอบขึ้นจากพวกที่มีหลากหลายแนวคิด<br /><br />บางคนเป็นพวก General หรือแนวเสรีนิยม ต่อต้านศาสนา<br /><br />บางคนก็เป็นพวก Catastrophic หรือพวกที่ปฏิเสธที่จะขยายอาณาบริเวณของชาวยิวพลัดถิ่น (Jewish diaspora) หลังมีการก่อตั้งรัฐขึ้นแล้ว<br /><br />นอกจากนั้น ยังมีพวกอื่นๆ อีกมาก เช่น พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary) พวกปฏิวัติ (Revolutionary) พวกอัตถประโยชน์นิยม (Pragmatic) พวกจินตนิยม (Romantic) พวกการเมือง (Political Zionism) พวกสังคมนิยม (Socialist Zionism) พวกเมสิอาห์ (Messianic) พวกสังเคราะห์ (Synthetic Zionism) ฯลฯ<br /><br />ในช่วงที่รัฐอิสราเอลก่อตั้งขึ้น กลุ่มอุดมการณ์ของไซออนิสต์ที่หลากหลายเหล่านี้ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันเหลือ เพียงแค่ 4 อุดมการณ์หลักๆ ที่มีความแตกต่างกันไป โดยที่อุดมการณ์เหล่านี้ก็สามารถอยู่รอดมาได้มาจนถึงปัจจุบัน<br /><br />ดังนี้<br /><br />1.อุดมการณ์ของพวกเมสิอาห์ (Messiah) หรือพวกที่เชื่อใน ผู้ช่วยให้รอดพ้นจากทุกข์และนำเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า พวกนี้ปรากฏขึ้นจากความเชื่อในการฟื้นคืนชีพของผู้ที่จะมาช่วยให้ชาวยิวรอด พ้นจากความทุกข์แห่งสหัสวรรษ และแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อการปฏิวัติฝรั่งเศสของปี 1789 ซึ่งยังผลให้ชาวยิวในยุโรปมีเสรีภาพมากขึ้น จนทำให้ชาวยิวจำนวนไม่น้อยเริ่มถอยห่างออกจากศาสนา ถูกกลืนกลายจนบางคนหันไปนับถือศาสนาคริสต์ก็มี<br /><br />ชาวยิวหัวอนุรักษ์จึงได้พยายามต่อต้านการผสมกลืนกินโดยยืนกรานถึงความจำเป็น ที่ชาวยิวจะต้องกลับไปสู่ชุมชนที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและคงความ บริสุทธิ์ในสายเลือดไว้ มิเช่นนั้นแล้วศาสนายูดาห์ก็คงไม่สามารถอยู่รอดได้ และประชาชาติยิวก็จะสูญเสียความบริสุทธิ์ผุดผ่องทางสายเลือดไป<br /><br />แม้กระนั้นก็ตาม พวกเมสิอาห์ดั้งเดิมก็ปฏิเสธการอพยพย้ายถิ่นของชาวยิวไปอยู่ในปาเลสไตน์ เพราะพวกเขาเชื่อว่าประชาชาติยิวจะสามารถสร้างรัฐอิสราเอล (Eretz Israel) ขึ้นมาใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อมีตัวแทนของพระเจ้าในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้แล้วเท่านั้น<br /><br />ชาวยิวบางคนถึงกับเดินทางไปอยู่ที่ปาเลสไตน์เพื่อตั้งตารอให้ถึงเหตุการณ์ ที่พระคัมภีร์ได้สัญญาเอาไว้ และมีความเชื่อว่า การมีส่วนร่วมของพวกเขาในการจัดตั้งรัฐอิสราเอลที่ภูเขาไซออน ถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการไถ่บาปของชาวยิว<br /><br />พวกเมสิอาห์เน้นความสำคัญในเรื่องแผ่นดิน พระคัมภีร์ (โตราห์ หรือเตารอด) และกลุ่มชนดังที่รอบิ อิสาก คูก (Rabi isaq Kook) ได้กล่าวไว้ว่า ชาวยิวต้องการแผ่นดินเพื่อสถาปนาพวกเขากลับไปอีกครั้งสู่ความเป็นกลุ่มชน<br /><br />2.อุดมการณ์ที่ 2 ซึ่งสามารถอยู่รอดมาได้ ปรากฏขึ้นในเกือบช่วงเลาเดียวกัน แต่เป็นไซออนิสต์เมสิอาห์ที่เน้นเรื่องจิตวิญญาณ (Messianic Spiritual Zionism) พวกเขาเชื่อในผู้ช่วยให้รอดพ้นจากทุกข์และนำเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า เหมือนกัน แต่ค่อนข้างมีแนวคิดเสรีและเน้นเหตุผลมากกว่า<br /><br />พวกเขาเชื่อว่า ภารกิจของประชาชนชาวยิวก็คือการส่งผ่านลักษณะพิเศษทางด้านจิตวิญญาณไปสู่ สังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ พวกเขาให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดกับคีมภีร์ และการสถาปนาปาเลสไตน์ให้เป็นชุมชนชาวยิวที่มีลักษณะทางศีลธรรมพิเศษเฉพาะ ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางด้านจิตวิญญาณของชาวยิวพลัดถิ่นที่อาศัยอยู่ต่างแดนทั้ง หมด<br /><br />นอกจากนั้น พวกเขายังเชื่อว่า ศาสดาท่านต่างๆ ได้สอนสั่งประชาชาติยิวให้เคารพอำนาจแห่งจิตวิญญาณ ไม่ใช่บูชาอำนาจทางวัตถุ ชาวยิวอยู่รอดมาได้ก็ด้วยชาตินิยมแห่งจิตวิญญาณของพวกเขา ซึ่งแตกต่างจากอุดมการณ์ชาตินิยมทั่วไปที่มนุษยชาติมักปฏิบัติกัน<br /><br />อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยึดหลักแห่งความรอมชอม เช่น ในช่วงปลายของทศวรรษที่ 1920 พวกเขาได้จัดตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า Brit Shalom ซึ่งเป็นองค์กรที่เรียกร้องให้จำกัดการย้ายถิ่นและให้เจรจาแก้ปัญหาการตั้ง ถิ่นฐานของชาวยิวกับพวกอาหรับ<br /><br />ในปี 1936 Brit Shalom ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่เรียกว่า กลุ่มอิฮุด (Ihud Group) โดยมีสมาชิกที่สำคัญคือ ดร.จูดาห์ เมกเนส (Judah Megnes) ซึ่งเป็นบิดาผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเล็ม (Hebrew University) และนักปรัชญาอย่าง มาร์ติน บูเบอร์ (Martin Buber) พวกเขาได้นำเสนอร่างที่วางแผนให้มีการตั้งรัฐของสองเชื้อชาติ (bi-national state) ขึ้นในปาเลสไตน์<br /><br />ภายหลังสงครามปี 1967 พวกไซออนิสต์ที่เน้นด้านจิตวิญญาณเหล่านี้มีความเห็นว่าดินแดนปาเลสไตน์จะ ต้องถูกแบ่งกันใหม่อีกครั้ง โดยที่ดินแดนอาหรับที่ถูกยึดครองหลังสงครามควรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเพื่อแลก สันติภาพกับโลกอาหรับ<br /><br />จุดยืนดังกล่าวนี้ แตกต่างอย่างมากจากจุดยืนของพวกไซออนิสต์ดั้งเดิมที่ยึดมั่นอย่างแน่วแน่ว่า อำนาจอธิปไตยของรัฐยิวจะต้องขยายครอบคลุมดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมด (บางทรรศนะบอกว่า คือดินแดนตั้งแต่กลุ่มแม่น้ำไนล์ไปจนถึงไทกริส-ยูเฟรติส)<br /><br />3.อุดมการณ์ที่ 3 คือ ไซออนิสต์แรงงาน (Labour Zionism) และไซออนิสต์การเมือง (Poitical Zionism) ซึ่งได้เข้ามารวมตัวกัน อันเนื่องจากว่า ทั้งสองอุดมการณ์เป็นด้านที่แตกต่างของเหรียญเดียวกัน ในขณะที่ไซออนิสต์แรงงานมีแนวคิดสังคมนิยม แต่ไซออนิสต์การเมืองเน้นอุดมการณ์ชาตินิยมและประชาธิปไตย<br /><br />ไซออนิสต์แรงงานได้ปูพื้นฐานให้มีการประยุกต์ใช้หลักการสังคมนิยมภายใต้ อาณานิคมของไซออนิสต์ในปาเลสไตน์ โดยเน้นถึงการทำให้โครงสร้างทางสังคมและอาชีพการงานของยิวกลับสู่สภาพปกติ ผ่านการพัฒนาของฐานชนชั้นกรรมาชีพของชาวยิว<br /><br />ในระยะแรก พวกเขาค่อนข้างมีแนวคิดเสรีนิยมและเป็นสากล พวกเขาเชื่อในการรวมตัวระหว่างแรงงานชาวยิวกับขบวนการแรงงานที่มีอยู่ในยุโรป<br /><br />แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1881-82 (หรือเหตุการณ์ที่พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียเกิดความหวาดระแวงต่อการแพร่ขยาย แนวคิดสังคมนิยมของชาวยิว พระองค์จึงสร้างกระแสต่อต้านชาวยิว ก่อให้เกิดการอพยพลี้ภัยของชาวยิว และการตระหนักถึงความสำคัญที่ชาวยิวต้องมีดินแดนเป็นของตนเอง) ทำให้พวกไซออนิสต์แรงงานเปลี่ยนไปให้ความสนใจต่อดินแดนปาเลสไตน์มากขึ้น<br /><br />แนวคิดนี้เข้มแข็งขึ้นจากงานเขียนของนายธีโอเดอร์ เฮอร์เซ็ล (Theodor Herzl) และแผนการทางการเมืองของเขา การประชุมไซออนิสต์สากลครั้งแรกในปี 1897 ได้ยอมรับแผนของเฮอร์เซ็ลที่จะสถาปนารัฐยิวขึ้น<br /><br />หนึ่งในบรรดาวิธีการที่หลากหลายที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวคือแผนการ ส่งเสริมให้มีการตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวยิวขึ้นในปาเลสไตน์โดยพวกเกษตรกร พวกแรงงาน และพวกช่างฝีมือชาวยิว ซึ่งทั้งหมดเป็นฐานมวลชนของไซออนิสต์แรงงาน และเป้าหมายของพวกเขาก็บรรลุผลสำเร็จจากการก่อตั้งรัฐยิวขึ้นในดินแดน ปาเลสไตน์<br /><br />4.อุดมการณ์ที่ 4 คือพวกไซออนิสต์ ที่ยึดหลักการเปลี่ยนแปลงแก้ไข (Revisionist) อุดมการณ์นี้เกิดขึ้นจากความขัดแย้งด้านกลยุทธ์ ความขัดแย้งเกิดขึ้นในปี 1922 เมื่ออังกฤษได้จัดตั้งรัฐทรานซ์จอร์แดนขึ้นมา ทั้งนี้ พวกไซออนิสต์ถือว่าดินแดนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอิสราเอลที่จะมีการจัด ตั้งขึ้นในอนาคต การเกิดขึ้นของรัฐทรานซ์จอร์แดนจึงทำให้ผู้นำไซออนิสต์อย่างไชม์ ไวซแมนน์ (Chaim Weizmann) และเดวิด เบน กูเรี่ยน (David Ben-Gurion) ต่างยอมรับถึงความผิดพลาดหรือความถดถอยชั่วคราว เพราะทำให้ไซออนิสต์ไม่สามารถสร้างรัฐยิวได้ในทุกๆ ดินแดนที่ได้รับการสัญญาไว้ (ในคัมภีร์)<br /><br />ความผิดพลาดดังกล่าวนี้ได้นำไปสู่การเผชิญหน้ากับผู้นำไซออนิสต์อีกคนที่ใช้ นโยบายประชานิยมอย่างวลาดิมีร์ จาโบตินสกี้ (Vladimir Jabotinsky)<br /><br />จาโบตินสกี้เรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขโครงการที่ได้รับการยอมรับจาก ที่ประชุมไซออนิสต์สากลเสียใหม่ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกเรียกว่าพวก Revisionist ที่เรียกร้องให้หน่วยงานของยิวประกาศอย่างเป็นทางการว่า เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างรัฐและต่อต้านอังกฤษโดยการใช้กำลังและการก่อ การร้าย<br /><br />พวก Revisionist ยึดมั่นในภารกิจที่จะป้องกันไม่ให้ไซออนิสต์เบี่ยงเบนเส้นทางออกจากเป้าหมาย ดั้งเดิมของการจัดตั้งรัฐยิวที่ครอบคลุมดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมด<br /><br />อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐอิสราเอลได้ถูกสถาปนาขึ้น อุดมการณ์ทั้ง 4 ดังกล่าวของไซออนิสต์ก็หลอมรวมอยู่ในสองขั้วการเมือง โดยที่ 3 อุดมการณ์แรกได้เข้ามาหลอมรวมอยู่ในหนึ่งขั้วการเมือง ซึ่งเป็นขั้วที่ครองอำนาจปกครองประเทศนับตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปลายทศวรรษที่ 1970 ส่วนอีกหนึ่งอุดมการณ์ที่เหลือหรือพวก Revisionist ก็เป็นอีกขั้วการเมืองหนึ่งที่ไม่มีอำนาจมากนักในอดีต<br /><br />แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อแบบแผนการอพยพย้ายถิ่นของชาวยิว (Aliyah) เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ มียิวตะวันออกจากประเทศอาหรับอพยพเข้ามามากขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านความสมดุลทางชาติพันธุ์ภายในสังคม ผู้อพยพชาวยิวรุ่นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศตะวันออกและมีอุดมการณ์ความเชื่อแบบเมสิอาห์ จึงค่อยๆ ทอดทิ้งกลุ่มอุดมการณ์แรงงาน แล้วหันไปให้การสนับสนุนพวก Revisionist ซึ่งมีหลักการเรื่องการครอบครองดินแดนปาเลสไตน์คล้ายคลึงกับพวกเขา<br /><br />ฉะนั้น ขั้วทางการเมืองก็ยังคงมีอยู่ 2 ขั้วเหมือนเดิม เพียงแต่มีการแบ่งกลุ่มอุดมการณ์ไปเท่าๆ กัน ขั้วหนึ่งคือขั้วของพวกแรงงานและพวกจิตวิญญาณ อันเป็นต้นกำเนิดของพรรคแรงงานของอิสราเอลที่มีท่าทีรอมชอมต่อประเด็นปัญหา ปาเลสไตน์อยู่บ้าง<br /><br />ส่วนอีกขั้วหนึ่งคือพวก Revisionist และเมสิอาห์นั้น เป็นต้นกำเนิดของพรรคฝ่ายขวา ลิคุต ที่ชูนโยบายแข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อให้ชาวปาเลสไตน์เลยแม้แต่น้อยเข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-60329166310827661862009-10-07T23:27:00.000-07:002009-10-08T00:35:27.248-07:00สนธิสัญญาลิสบอน กับการเริ่มสร้างวิหารหลังใหม่<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfjUZDupuZ8Z9Vm-RBSVD1UYYMi3cdqkQh_0Ym3pWLwzucdickq9RUTVXb9Ur4oKWMRLhL8LrMRC8Qn9YMPpDxoRJUNm2ZPvEyqTaSC4a6t9bWP1t0Y976aHcSI_icTNWDq_qAsLwd-aOj/s1600-h/PDVD_000.BMP"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 400px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfjUZDupuZ8Z9Vm-RBSVD1UYYMi3cdqkQh_0Ym3pWLwzucdickq9RUTVXb9Ur4oKWMRLhL8LrMRC8Qn9YMPpDxoRJUNm2ZPvEyqTaSC4a6t9bWP1t0Y976aHcSI_icTNWDq_qAsLwd-aOj/s400/PDVD_000.BMP" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5390128921124843474" border="0" /></a><br /><span style="color: rgb(255, 0, 0); font-weight: bold;">หากสนธิสัญญานี้สำเร็จ จะเริ่มมีการสร้างวิหารใหม่ หลังที่ 3</span> ซึ่งกลุ่มไซออร์นิส อ้างว่ามีแบบแปลนวิหารหลังที่ 3 อย่างสมบูรณ์ จากแปลนเดิมของกษัตริย์โซโลมอน และทุกอย่างเตียมการไว้พร้อมแล้วทั้งบุคลากร วัสดุก่อสร้าง หากสัญญาสันติภาพนี้เสร็จสิ้นลง วิหารหลังใหม่จะถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว<br />--------------------------------------------------------<br />เมื่อปลายปีที่แล้ว วันที่ 13 ธันวาคม 2550 ผู้นำของสมาชิกสหภาพยุโรปได้ลงนามในสนธิสัญญาลิสบอน ที่เป็นเสมือนกฎหมายแม่บทระหว่างสมาชิกสหภาพยุโรป 27 ประเทศ แต่จนกระทั่งวันนี้ ผ่านไปครึ่งปีแล้ว รัฐบาลของสมาชิกสหภาพยุโรปเพียง 19 ประเทศเท่านั้นที่ให้สัตยาบรรณยอมรับสนธิสัญญาดังกล่าว ส่วนบางประเทศ เช่น ไอร์แลนด์ และสาธารณรัฐเช็ค ก็ยังมีปัญหาในประเด็นสำคัญหลายๆ จุด จนทำให้ทุกฝ่ายเห็นว่ากำหนดการเดิมที่จะให้สนธิสัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ภายใน 1 มกราคม 2552 อาจจะต้องเลื่อนออกไปอีก<br />สนธิสัญญาลิสบอนเป็นสนธิสัญญาฉบับใหม่ล่าสุดที่ได้ปรับปรุงจากสนธิสัญญานีซ (บังคับใช้ในปี 2544) สนธิสัญญาอัมสเตอร์ดัม (บังคับใช้ในปี 2540) และสนธิสัญญาการจัดตั้งสหภาพยุโรป(บังคับใช้ในปี 2535) ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักคือการปรับปรุงโครงสร้างระบบการบริหารและการตัดสินใจ ภายในสหภาพยุโรป เพิ่มบทบาทและการมีส่วนร่วมของสภาผู้แทนฯ ในแต่ละประเทศ(National Parliament) ต่อสภาผู้แทนฯ สหภาพยุโรป (European Parliament) และเพิ่มบทบาทและศักยภาพของ EU ต่อประชาคมโลก ซึ่งสนธิสัญญาฉบับเดิมได้ใช้บังคับมาตั้งแต่สมัยที่สหภาพยุโรปยังมีสมาชิก เพียง 15 ประเทศ มาวันนี้พอจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้นเป็น 27 ประเทศแล้ว กลไกการบริหารงานและการกำหนดนโยบายจึงต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัย<br />เป้าหมายหลักๆ ในสนธิสัญญาลิสบอน มี 4 เรื่องได้แก่<br /> 1. ยกระดับความโปร่งใสและประชาธิปไตยในยุโรป — โดยการจัดสมดุลอำนาจระหว่างสภาผู้แทนฯ สหภาพยุโรปที่ผู้แทนฯ ได้รับการเลือกตั้งมาโดยตรงจากประชาชนกับคณะมนตรีต่างๆ ที่มีสมาชิกเป็นตัวแทนของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีการเชื่อมโยงอำนาจของสภาผู้แทนฯ ระดับประเทศกับสภาผู้แทนฯสหภาพยุโรปโดยกำหนดให้สภาผู้แทนฯ สหภาพยุโรปทำหน้าที่พิจารณาเฉพาะเรื่องหลักๆ ที่เป็นภาพรวมของสหภาพฯ เช่น งบประมาณสหภาพฯ สนธิสัญญาระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศภายนอก และกฎหมายที่ใช้บังคับกันภายในสหภาพฯ โดยจะไม่ก้าวล่วงไปถึงกฎหมายเฉพาะของแต่ละประเทศสมาชิกที่มีสภาผู้แทนฯระดับ ประเทศดูแลอยู่แล้ว นอกจากนี้สนธิสัญญาลิสบอนยังได้เพิ่มบทบัญญัติใหม่เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิก สหภาพยุโรปสามารถขอลาออกจากการเป็นสมาชิกภาพของสหภาพฯ ได้อีกด้วย<br /> 2. เพิ่มศักยภาพภายในของยุโรป — โดยการปรับปรุงระบบการบริหารและการตัดสินใจของคณะมนตรีต่างๆ ให้กระชับและรวดเร็วขึ้น รวมถึงการพิจารณาเสียงส่วนใหญ่ในการมีมติต่างๆ นั้นจะให้ความสำคัญทั้งจำนวนประเทศและจำนวนประชากร โดยต้องให้อย่างน้อย 55% ของจำนวนประเทศสมาชิกเห็นชอบ โดยประเทศสมาชิกที่เห็นชอบนั้นต้องมีจำนวนประชากรอย่างน้อย 65% ของประชากรทั้งหมดในสหภาพยุโรปนอกจากนี้ยังได้สร้างกฎระเบียบเกี่ยวกับคณะ มนตรีต่างๆ รวมถึงการสร้างนโยบายมาตรฐานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในสหภาพยุโรป ในภาพรวมโดยเฉพาะในเรื่องเสรีภาพ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อำนาจตุลาการ และนโยบายหลักๆ อื่น เช่น สุขอนามัย พลังงาน และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น<br /> 3. สร้างคุณค่า ความเป็นปึกแผ่น และความมั่นคงของสหภาพยุโรป - โดยการยกร่างกฎบัตรสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานของประชากรสหภาพยุโรป ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานเบื้องต้นสำหรับประชากรในสหภาพยุโรป ซึ่งประกอบด้วยสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม นอกจากนี้ยังมีการสร้างจิตสำนึกของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในกรณีที่มี ภัยคุกคามสหภาพยุโรป เช่น การโจมตีจากผู้ก่อการร้าย เป็นต้น<br /> 4. เน้นการเป็นผู้นำในเวทีโลก — โดยปรับปรุงกลไกการสร้างนโยบายความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ในโลก ปรับปรุงขอบเขตอำนาจของคณะมนตรีที่ดูแลกิจการระหว่างประเทศให้มีมากขึ้น มอบอำนาจในการเจรจาแก่คณะผู้แทนสหภาพฯ ในการดำเนินการแทนประเทศสมาชิก เพื่อให้อำนาจในการเจรจาต่อรองของสหภาพฯ นั้นแข็งแกร่งและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าในการร่วมกันตัดสินใจทางทหารเกี่ยวกับการป้องกัน อาณาจักร ซึ่งจะช่วยให้ประเทศขนาดเล็กมีความมั่นคงสูงขึ้น<br /> ความคืบหน้าของการรวมตัวของสหภาพยุโรปนี้เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นความตั้งใจบวกกับความจริงใจของประเทศสมาชิกที่จะผลักดันให้มันเกิด ขึ้นมาตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีนับจากการลงนามในสนธิสัญญาโรมเพื่อก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเมื่อ ปี 2500 ความพยายามของยุโรปนี้ประสบผลสำเร็จในวันนี้เป็นที่น่าชื่นใจ นับเป็นการมองการไกลที่ส่งผลสำเร็จเพราะในวันนี้ที่สหรัฐฯ จีน รัสเซียได้ก้าวขึ้นมามีอิทธิพลในเวทีโลก ยุโรปก็ถึงจุดที่มีอำนาจต่อรองในเวทีโลกมากขึ้นจริงๆ<br /> หันมาดูอาเซียนที่ไทยเป็นสมาชิกอยู่มานานกว่า 10 ปี ก็เพิ่งลงนามในสนธิสัญญาเพื่อก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไปเมื่อปี 2551 แม้จุดเริ่มต้นจะช้ากว่ายุโรปถึง 50 ปี แต่อาเซียนก็ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะทำให้สมาชิกกลุ่มตัวเองมี อำนาจต่อรองในเวทีโลก ต่อจากนี้ ก็ต้องอาศัยความต่อเนื่องทางนโยบาย (ซึ่งหาได้ยากในประเทศสมาชิกอาเซียน เพราะเปลี่ยนรัฐบาลกันบ่อยเหลือเกิน) และการสมัครสมานสามัคคีของสมาชิกเพื่อผลักดันให้เป้าหมายการเป็นประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนสำเร็จได้ภายในปี 2015 ตามที่ประกาศไว้ ถึงวันนั้น การพัฒนาไปสู่การเป็นสหภาพอาเซียนก็คงไม่ยากเกินความพยายามเข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-57172429789211507162009-10-07T23:20:00.000-07:002009-10-08T01:04:18.842-07:00กำแพงร้องให้<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS74HbPizWp2pGE8QK6KOSXxbYAvvPgEhTp030B9bnMMgYtpPEwyhRtHjy4FIf1wGpi8qfem1KXwTGpM4d6RxyqOiSw1olIbYbE5aIwqrajG39A5tLN0WW8FSxM8nv89pnx_sCZiaft29E/s1600-h/PDVD_006.BMP"><img style="margin: 0pt 0pt 10px 10px; float: right; cursor: pointer; width: 400px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS74HbPizWp2pGE8QK6KOSXxbYAvvPgEhTp030B9bnMMgYtpPEwyhRtHjy4FIf1wGpi8qfem1KXwTGpM4d6RxyqOiSw1olIbYbE5aIwqrajG39A5tLN0WW8FSxM8nv89pnx_sCZiaft29E/s400/PDVD_006.BMP" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5390136357937111058" border="0" /></a><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvhg7l9R21T3ySET7huzrh1YjHiNk1ZGyJ_WjFg8Jvx9m8Re33jpYLycA5euqhXill5X3kwiykWzFbfNtnHKOoDHGP-8hBLOKdbuHdsJIfE3fTjhlWFShgaCsKST_LQd75ankgFemMnBuD/s1600-h/PDVD_002.BMP"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 400px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvhg7l9R21T3ySET7huzrh1YjHiNk1ZGyJ_WjFg8Jvx9m8Re33jpYLycA5euqhXill5X3kwiykWzFbfNtnHKOoDHGP-8hBLOKdbuHdsJIfE3fTjhlWFShgaCsKST_LQd75ankgFemMnBuD/s400/PDVD_002.BMP" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5390133110191606530" border="0" /></a> <span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">ปัจจุบันประเทศอิสราเอล เหลือพื้นที่ที่ยังเป็นของตนในส่วนของเยรูซาเล็มก็คือ ส่วนที่เรียกว่ากำแพงร้องให้ชาวยิวจะไปยืนร้องให้ที่กำแพงนี้เป็นประจำเพื่ออฐิษฐานขอให้พระเจ้าคืนเยรูซาเล็มและวิหารกลับมาให้เป็นของชาวยิวดังเดิม</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-56922883309455258362009-10-07T23:02:00.000-07:002009-10-07T23:19:52.991-07:00ทำไมบาร์โค้ดจึงมีสัญลักษณ์ 666<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3qymD4JjCOYuWQqzsUMpcKlbv7kaKIDgQY5AgCylXULTtdAZw3wTCTQRsd3w4rNipI5aJafJmC8XCr3ctMRYP9FQB0k2D-akk-6VJB1RRxxtnYeMzqZITBm1rZau5VInZbyYlRUkrM8D6/s1600-h/2346446027_7b9851b439.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 400px; height: 294px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3qymD4JjCOYuWQqzsUMpcKlbv7kaKIDgQY5AgCylXULTtdAZw3wTCTQRsd3w4rNipI5aJafJmC8XCr3ctMRYP9FQB0k2D-akk-6VJB1RRxxtnYeMzqZITBm1rZau5VInZbyYlRUkrM8D6/s400/2346446027_7b9851b439.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5390106525413626338" border="0" /></a><br />บาร์โค้ดที่เราเห็นอยู่ทุกวันเรียกว่า linear barcode (ส่วนไอ้ที่เห็นไม่บ่อยก็คือแบบ 2D code)<br />สำหรับการสร้างบาร์โค้ดจริงๆ แล้วมันมีหลายระบบ<br />แต่อันที่นิยมที่สุดคือระบบ UPC (Universal Product Code)<br />บาร์โค้ดระบบนี้จะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ตัวเลขให้คนอ่าน 12 หลัก กับแถบเส้นให้เครื่องอ่าน<br />ตัวบาร์โค้ดจะมีเส้นที่ไม่เกี่ยวกับตัวเลข 12 หลัก ทั้งหมด 3 ชุด<br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">คือเส้น start code, guard bar และ end code</span><br />guard bar มีหน้าที่แบ่งตัวเลขเป็น 2 ฝั่งๆ ละ 6,6 <br /><p> ตัวเลขทั้ง 12 ตัวจะถูกแปลงเป็นเลขฐานสอง และแปลงต่อเป็นแถบบาร์โค้ด (เส้นขาว-ดำ)<br />สำหรับตัวเลขชุดหน้า guard bar 1 จะแสดงด้วยแถบดำ และ 0 แสดงด้วยแถบขาว<br />แต่สำหรับเลขหลัง guard bar มันจะกลับกัน แถบดำจะเป็น 0 และแถบขาวจะเป็น 1 </p> <p> 0 : 0001101 5 : 0110001<br />1 : 0011001 6 : 0101111<br />2 : 0010011 7 : 0111011<br />3 : 0111101 8 : 0110111<br />4 : 0100011 9 : 0001011<br /></p><p>-------------------------------> ดังนั้นผู้ที่แปลไบเบิ้ล จึงบอกว่า ความหมายของ ผู้ต่อต้าน คือ 666 หรือ 999 เพราะตัวเลขกลับไปกลับมา</p><p>ดังนั้นเลขฐานสิบ 1 หลัก ก็จะแปลงเป็นเลขฐานสอง 7 หลัก และแปลงต่อเป็นแถบขาวดำอีก 7 เส้น<br />จากตัวอย่างก็คือ เลข 4 (อยู่หลัง guard bar) จะแปลงเป็นเลข 0100011<br />ซึ่งก็คือ ดำ-ขาว-ดำ-ดำ-ดำ-ดำ-ขาว-ขาว<br /><br />จะสังเกตได้ว่าถ้าแถบสีเดียวกันมาอยู่ใกล้กัน มันจะติดเป็นพืดๆ กลายเป็นแถบดำใหญ่ๆ นั่นเอง </p><p>------------------------------</p><p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span class="style14"><span class="style16"><span style="font-size:100%;">แต่ เลข 666 นั้นก็เป็นสัญลักษณ์อีกเหมือนกันซึ่งก็มีการตีความหลากหลายกันไปมีทั้งแปล ออกมาได้เป็น Computer , บาร์โค้ด ฯลฯ ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเพราะในอนาคตอันใกล้นี้มนุษย์จะไม่ต้องพกบัตร เครติดหรือบัตรประจำตัวแล้ว เพราะเรากำลังมีสิ่งที่เรียกว่าไมโครชิพ(mocrochip) </span></span></span></span></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span class="style14"><span class="style16"><span style="font-size:100%;"><br /></span></span></span></span></span></p><p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span class="style14"><span class="style16"><span style="font-size:100%;">วัน ที่ 31 มีนาคม 1969 ธนาคารโลกหรือ IMF ได้ประกาศระบบแลกเปลี่ยนเงินตราแบบใหม่โดยไม่ผูกกับธนบัตรหรือทองคำ แต่ไปผูกกับระบบเครติดใหม่โดยใช้ตัวเลขชื่อว่าระบบ S.D.R (Special Drawing Right)<br />ในปี 1976 SDR ได้เริ่มดำเนินการโดยใช้ทองคำสำรองการเงินซึ่งระบบนี้ประกอบขึ้นโดยใช้หมาย เลขซึ่งในหนังสือคอมพิวเตอร์ระหว่างนานาชาติ จะกำหนดเดบิตและเครติต(รายรับรายจ่าย)ของสมาชิกแต่ละชาติ ซึ่งระบบเงินตราแบบใหม่นี้ เพื่อจะใช้ได้ในระดับส่วนบุคคล มีความจำเป็นจะต้องประกอบไปด้วย</span></span></span></span></span></p><br />1. รหัสระหว่างนานาชาติของผลิตภัณฑ์(บาร์โค้ด)<br /><br />บาร์โค้ดของสิ้นค้านั้นทั่วโลกสำหรับผลิตภัณฑ์ซื้อขายของ ทั่วโลก จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันดังนี้<br /><br /><br />และ แน่นอน แถบกลางที่เป็นเส้นคู่แบบนี้ || เมื่อถอดใน Computer แล้วก็จะอ่านได้เป็นเลข 6 เป็นเหมือนกันกับสินค้าทุกชนิดทั่วโลก(ไม่เชื่อลองเอาบาร์โค้ดของสินค้าที่ ซื้อมาเทียบดูจะมีเส้นท ี่เหมือนกันทุกอันคือเส้นของเลข 666)<br /><br />2.เครื่องคอมพิวเตอร์<br /><br />ไม่ว่าจะซื้อเข้าหรือขายออกจำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์<br /><br />3.S.D.R<br /><br />จำเป็นที่ S.D.R ต้องถูกนำมาใช้ มิใช่แค่ภายในประเทศใด้ประเทศหนึ่งเท่านั้นแต่ต้องเป็นในระดับส่วนบุคคลด้วย(รายบุคคล)และใช้ทั่วโลก<br /><br />4.หมายเลขบัญชีประจำตัว<br /><br />แต่ละบุคคลต้องได้รับหมายเลขประจำตัวซึ่งเป็นเลขบัญชีเฉพาะตัวเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์นานาชาติ<br /><br />5.หมายเลขที่ประทับลงบนมือขวาหรือหน้าผาก<br /><br />เป็นเรื่องจำเป็นที่ไมโครชิพจะต้องประทับลงบนมือขวาหรือหน้าผากโดยแสงเลเซอร์ซึ่งจะไม่เจ็บและตาเปล่ามองไม่เห็น<br /><br />Dr.Carl W.Sanders นักประดิษฐ์วิชาการและที่ปรึกษาขององค์กรรัฐบาล IBM General Electric,Honeywell และ Teledyne กล่าวว่า<br /><br />"การ ฝังไม่โครชิพนั้นต้องอาศัยพลังงานในการชาร์จไฟ ซึ่งการจะฝังในร่างกายมนุษย์นั้นไม่สามารถที่จะนำออกมาชาร์จไฟได้ เราจึงต้องอาศัยการเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์ซึ่งจะต้องต่อวงจรของชิ พให้มีการชาร์จไฟ ทุกครั้งที่อุณหภูมิของร่างกายเปลี่ยนอุณหภูมิ ได้มีการใช้เงินไปถึง 1.5 ล้านดอลลาร์ในการค้นหาจุดของร่างกายที่มีการเปลี่ยนอุณหภูมิที่เร็วที่สุด ซึ่งเหมาะแก่การฝังไมโครชิพคือที่ หน้าผาก และ หลังข้อมือ "<br /><br />Dr.Carl W.Sanders ยังกล่าวอีกว่า "ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการประชุม One World เป็นจำนวน 17 ครั้งซึ่งได้มีการถกเถียงกันเรื่องไมโครชิพ การประชุมที่บรัสเซลล์และลักเซมเบิร์ก พยายามโยงการเงินของโลกเข้ามาอ้าง ขณะนี้กำลังมีพระราชบัญญัติเข้าสภา Congress ว่าจะอนุญาติให้ฝังไมโครชิพในทารกแรกเกิดด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อสำหรับข้อมูลประจำตัว "<br /><br /><br />นั่นทำให้เรายิ่งระลึกถึงคำทำนายที่ว่า<br /><br />" สัตว์ร้ายตัวที่สองนี้บังคับทุกคน ทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ ทั้งคนมั่งมีและคนยากจน ทั้งคนอิสระและทาส ให้สักตราไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผาก ไม่มีใครซื้อขายได้ ถ้าไม่มีตราคือนามของสัตว์ร้ายหรือจำนวนเลขของนามนั้น ดังนั้น จำเป็นต้องมีปรีชาญาณ ผู้มีปัญญาจงตีความจำนวนเลขของสัตว์ร้ายให้ได้ เพราะมันเป็นจำนวนเลขที่หมายถึงมนุษย์คนหนึ่ง จำนวนเลขนั้นคือ 666"<br /><br />Q: พระเยซูเจ้าเคยกล่าวอะไรถึง Antichrist บ้างหรือไม่<br /><br /><br />A: มันคือ False Prophet(ผู้เผยพระวจนะเทียม) ที่พระเยซูเจ้าทรงกล่าวเตือนใว้<br /><br />มธ 24:15-25<br />เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายเห็นผู้ทำลายที่น่ารังเกียจยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตามที่ประกาศกดาเนียลได้กล่าวไว้ เมื่อนั้น ผู้ ที่อยู่ในแคว้นยูเดียจงหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าก็อย่าลงมาเก็บข้าวของในบ้าน ผู้ที่อยู่ในทุ่งนาจงอย่ากลับไปเอาเสื้อคลุมที่บ้าน น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น จงอธิษฐานภาวนาอย่าให้ท่านต้องหนีในฤดูหนาว หรือในวันสับบาโต เพราะในเวลานั้น จะมีทุกขเวทนาใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกจนบัดนี้ และจะไม่มีต่อไปอีกเลย ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นสั้นลง เพราะทรงเห็นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ “เวลานั้น ถ้า ผู้ใดบอกท่านว่า “พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “พระคริสต์อยู่ที่นั่น” จงอย่าเชื่อ เพราะจะมีพระคริสต์เทียม และประกาศกเทียมหลายคนเกิดขึ้น จะทำเครื่องหมายและปาฏิหาริย์ยิ่งใหญท่านทั้งหลายจงฟังเถิด เราได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ให้ฟังไว้ก่อนแล้ว<br /><br /><br />Q: สัตว์ร้ายที่หมายถึง Antichrist และมังกร หรือสัตว์ร้ายสิบเขา แตกต่างกันอย่างไรทำไมถึงทราบว่า ตัวไหนเป็นคนหรือเป็นมาร<br /><br />A: สัตว์ทั้ง 3 นี้มีต้นกำเนิดต่างกัน<br /><br />มังกร - มารซาตาน อยู่มาตั้งแต่ปฐมกาล<br /><br />สัตว์ร้ายสิบเขา - ขึ้นมาจากทะเล<br /><br />แอนตี้ไครส์ - ขึ้นมาจากแผ่นดิน<br /><br />สัตว์ ร้ายทั้ง 4 ในนิมิตของดาเนียลนั้นก็ขึ้นมาจากทะเล และได้รับการตีความจากพระคำภีร์เองว่าหมายถึงบรรดาเมืองหรือประเทศหรือ องค์กรที่มีอำนาจมาก จึงต่างจาก Antichrist ซึ่งขึ้นมาจากแผ่นดินซึ่งก็คือแผ่นดินโลกมันได้เข้ามาในโลกนี้ และพระคำภีร์ยังบอกชัดเจนว่ามันคือ "มนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งมีสัญลักษณ์คือ 666" ถ้าเป็นไปได้จะหลอกลวงแม้แต่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้<br /><br />Q: แล้วสตรีผู้มีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์และมังกรคือใคร ทำไมมังกรถึงได้โกรธแค้นขนาดนั้น<br /><br /><br />A: ก่อนจะตอบคำถามนี้ต้องอ่านพระธรรมวิวรณ์บทนี้อีกรอบครับ<br /><br />วว 12:1-17<br />เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือ สตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร เครื่องหมายอีกประการหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดดวงดาวหนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำลังจะคลอดบุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่ คลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้องปกครองชาติทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกคว้าตัวขึ้นไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของพระองค์ ส่วนสตรีนั้นหลบหนีไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พำนักซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน สงคราม เกิดขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลกับเหล่าทูตสวรรค์ของเขาต่อสู้กับมังกร มังกรพร้อมกับบริวารของมันก็ต่อสู้ด้วย แต่มันพ่ายแพ้และไม่มีที่พำนักในสวรรค์อีกต่อไป มังกรใหญ่ คืองูดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อว่าปีศาจและซาตาน ผู้ล่อลวงผู้อาศัยอยู่ทั่วแผ่นดินให้หลงไป ถูกโยนลงมาบนแผ่นดิน บริวารของมันก็ถูกโยนลงมาด้วย ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระราชอาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอำนาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ เพราะผู้กล่าวหาบรรดาพี่น้องของเรา คือผู้ที่กล่าวหาเขาทั้งกลางวันกลางคืนเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าของเราก็ถูก โยนลงไปแล้ว บรรดาพี่น้องของเราชนะผู้กล่าวหา เดชะพระโลหิตของลูกแกะและอาศัยคำพยานของตน เพราะเขาไม่หวงแหนชีวิตแม้เมื่อเผชิญความตาย ดังนั้น สวรรค์และท่านทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ จงชื่นชมเถิด วิบัติจงเกิดแก่แผ่นดินและทะเล เพราะปีศาจลงมายังแผ่นดินและทะเลด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เพราะมันรู้ว่ามีเวลาเหลือน้อยแล้ว เมื่อมังกรหรืองูเห็นว่าตนถูกโยนลงมาบนแผ่นดิน ก็เริ่มเบียดเบียนสตรีที่คลอดบุตรชาย แต่สตรีนั้นรับปีกนกอินทรีใหญ่สองปีกเพื่อจะได้บินไปยังถิ่นทุรกันดารที่ พำนักของนาง ที่นั่นนางจะได้รับการเลี้ยงดูพ้นสายตาของงูเป็นเวลาสามปีครึ่ง งู พ่นน้ำออกจากปากเหมือนแม่น้ำตามหลังสตรี เพื่อให้นางถูกกระแสน้ำพัดไป แต่แผ่นดินช่วยนางไว้ แผ่นดินอ้าปากออกและดื่มแม่น้ำที่มังกรพ่นออกมาจากปากของมัน มังกรโกรธสตรี และออกไปทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ที่เหลือของนาง คือผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า และยึดมั่นในคำพยานถึงพระเยซูเจ้า<br /><br /><br /><br />สตรี ผู้มีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะผู้ซึ่งบุตรชายของนางจะครอบครองประชาชาติ ด้วยคทาเหล็กในพระคำภีร์บทนี้ก็คือพระนางมารีอา พระมารดาของพระเยซูเจ้า หรือที่เรียกกันว่าแม่พระนั่นเอง<br /><br /><br /><br />Q: มังกรพยายามจะทำลายสตรีผู้นี้อย่างไร?<br /><br />A: มังกรพยายามพ่นน้ำออกมาจากปากพยายามให้น้ำนั้นพัดสตรีผู้นี้หายไป ซึ่งน้ำที่พ่นออกมานั้นสื่อถึงสิ่งที่ออกมาจากปากที่จะทำให้ผู้อื่นเป็น มลทิน จึงอาจตีความได้ว่ามารจะใช้วาจาคำพูดต่างๆนาๆเพื่อลบหลู่แม่พระ ทำให้แม่พระเกิดมลทิน<br /><br />ในพระธรรมเก่าถือว่าน้ำลายหรือของเหลวที่ออกมาจากร่างกายไปเปรอะเปื้อนคนอื่นนั้นจะทำให้เขามีมลทิน<br /><br />เลวีนิติ 15:7<br />ผู้ใดไปแตะต้องร่างกายของผู้ที่มีสิ่งไหลออกผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำและเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็นและถ้า ผู้ใดที่มีสิ่งไหลออกนั้นถ่มน้ำลายรดผู้ที่สะอาดเข้าผู้ที่ถูกน้ำลายรดต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำและเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น ..<br /><br />ดัง นั้น แม้มารซาตานจะพยายามใช้คำสบประมาท และใส่ร้ายใส่ความต่างๆเพื่อหมิ่นพระเกียรติ และพยายามทำลาย พระมารดาพระเจ้าให้มัวหมองมีมลทิน แต่แผ่นดินจะปกป้องพระนาง และเมื่อมันทำอะไรพระนางไม่ได้ มันก็จะหันไปทำร้ายลูกหลานของพระนาง คือผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระนางซึ่งก็คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง<br /><br />Q: ท้ายสุดแล้วจะลงเอยอย่างไร<br /><br />A: ท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าและบรรดาผู้ที่อดทนยึดมั่นความชอบธรรมและพระเยซูเจ้าใว้ได้ จะได้รับชัยชนะ<br /><br />วิวรณ์ 19:20<br />สัตว์ ร้ายถูกจับเป็นเชลย ประกาศกเทียมที่เคยทำปาฏิหาริย์ต่อหน้าสัตว์ร้าย และใช้ปาฏิหาริย์เหล่านี้หลอกลวงผู้ที่ยอมสักตราของสัตว์ร้ายและผู้ที่กราบ นมัสการรูปปั้นของสัตว์ร้ายนั้นก็ถูกจับเป็นเชลยพร้อมกันด้วย สัตว์ร้ายและประกาศกเทียมถูกโยนทั้งเป็นลงไปในทะเลไฟที่มีกำมะถันเป็นเชื้อ เพลิง<br /><br />วิวรณ์ 20:1 -3<br />ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ถือกุญแจแห่งบาดาลและโซ่ใหญ่เส้นหนึ่ง เขาจับมังกร งูดึกดำบรรพ์คือปีศาจและซาตาน แล้วล่ามมันไว้เป็นเวลาหนึ่งพันปี โยนมันลงไปในบาดาล ปิดกุญแจทางเข้าและประทับตราไว้ข้างบน เพื่อมิให้มันหลอกลวงนานาชาติให้หลงผิดได้อีกจนกว่าจะครบกำหนดหนึ่งพันปี หลังจากนั้น มันจะต้องถูกปล่อยออกมาชั่วระยะเวลาสั้น ๆ..<br /><br /><br /><br /><br /><br />Q: มีข้อสังเกตุใดไหมว่าบุคคลผู้นี้ได้เกิดขึ้นแล้ว<br /><br />A: มีข้อสังเกตุใหญ่ๆดังนี้<br /><br />@เขาสั่งให้เลิกพิธีมิสซา(พิธีประกอบศาสนกิจของศาสนาคริสต์)<br /><br />ดาเนียล 12:11<br />และ ตั้งแต่เวลาที่ให้เลิกเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์เสียนั้นและให้ตั้งสิ่งที่ น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติขึ้น จะเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบวัน..<br /><br /><br />@เขาจะบังคับผู้คนอยู่ใต้อำนาจ<br /><br />วิวรณ์ 13:16<br />"สัตว์ ร้ายตัวที่สองนี้บังคับทุกคน ทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ ทั้งคนมั่งมีและคนยากจน ทั้งคนอิสระและทาส ให้สักตราไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผาก ไม่มีใครซื้อขายได้ ถ้าไม่มีตราคือนามของสัตว์ร้ายหรือจำนวนเลขของนามนั้น"<br /><br />@ เขาจะอ้างว่าตัวเขาเองคือพระเยซูเจ้าที่แท้จริง<br /><br />@ เขาพยายามบิดเบือนพระธรรมคำสอน<br /><br />มธ 24:4-14<br />พระ เยซูเจ้าตรัสตอบว่า “จงระวังอย่าให้ใครหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นพระคริสต์' และจะหลอกลวงคนจำนวนมากให้หลงผิด ท่านทั้งหลายจะได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามทั้งใกล้และไกล จงระมัดระวัง อย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย ชนชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง ความอดอยากและแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นหลายแห่ง ทั้งหมดนี้จะเปรียบเหมือนความทุกข์ที่เริ่มต้นในการคลอดบุตร “ต่อจากนั้น ท่านจะถูกจับไปทรมานและถูกประหาร ชนทุกชาติจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา ในเวลานั้น หลายคนจะละทิ้งความเชื่อ จะทรยศและเกลียดชังกัน ประกาศกเทียมจำนวนมากจะต้องเกิด และจะหลอกลวงคนมากมาย เพราะความอธรรมจะเพิ่มมากขึ้น ความรักของคนจำนวนมากจะเย็นลง แต่ผู้ใดยืนหยัดอยู่จนถึงวาระสุดท้าย ผู้นั้นก็จะรอดพ้น “ข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรนี้จะประกาศไปทั่วโลกเพื่อเป็นพยานสำหรับนานาชาติ เมื่อนั้น วาระสุดท้ายจะมาถึง<br /><br /><br />Q: มีการกล่าวถึง Antichrist ในแง่อื่นๆนอกเหนือจากพระคำภีร์อีกใหม?<br /><br /><br />A: มี<br /><br />ขอยกตัวอย่างคำทำนายของนอสตราดามุสที่ได้เขียนจดหมายทูลกษัติริย์อังรี่ที่ 2แห่งฝรั่งเศษที่กล่าวถึงแอนตี้ไครส์มาให้ได้อ่านกัน<br /><br />"แอ นตี้ไครส์เป็นเจ้าแห่งอเวจีที่มาในโลกมนุษย์ คริสต์ศาสนาจะสั่นคลอน จะมีสงครามน้อยใหญ่เกิดขึ้นจนถึงสงครามขั้นรุนแรง เมืองเล็กเมืองใหญ่ตึกรามบ้านช่องจะถูกไฟเผา ผู้หญิงจะถูกข่มขืน ทารกที่เพิ่งเกิดใหม่จะถูกโยนทิ้งและจับฟาดกับกำแพงเมืองให้ตาย จะมีคนมากมายประกอบกิจอันชั่วช้า ซึ่งก่อนเหตุการ์ณนี้จะมีนกประหลาดส่งเสียงร้องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนบนท้อง ฟ้า"<br /><br /><br />หรือแม้แต่บรรดาผู้ที่คริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิคแต่ง ตั้งให้เป็นนักบุญ(ผู้ที่ดำเนินชีวิตได้ศักดิสิทธ์ สมควรได้รับเกียรติและการยกย่อง)บางองค์ที่ได้รับนิมิตถึงเรื่องของ Antichrist<br /><br />นักบุญบริเจต์ แห่งสวีเดน (1373):<br /><br />"ยุค ของปรปักษ์พระคริสต์จะเข้ามาใกล้เมื่อความบาปท่วมท้น ความชั่วจะแพร่อย่างมหาศาลเมื่อคริสต์ชนถือนอกรีตและคนอธรรมเหยียบย่ำคนรับ ใช้ของพระเป็นเจ้า ในท้ายยุคนี้ antichrist จะถือกำเนิดขึ้นจากสตรีที่ถูกสาปแช่ง แม่ของมันจะแสร้งทำเป็นผู้รู้ซึ่งเรื่องวิญญาณ และพ่อของมันก็ถูกสาปแช่งด้วยเพราะลูกของมันคือปีศาจ ความชั่วและความไร้ศรัทธาจะแพร่ขยายไปทั่ว คนชั่วจะครองอำนาจ และมันจะมีอำนาจควบคุมโลกอยู่ 3 ปี "<br /><br /><br /><br />ทำไมต้อง666<br /><br />เลขของพระเจ้าคือ 333 เป็นเลขที่สมบูรณ์สมดุลย์ และลงตัวมาก เลข3 3ตัว สื่อถึงหลักความเชื่อเรื่อง ตรีเอกภาพ (Holy Trinity) นั่นคือความเชื่อที่ว่า พระบิดา(พระเจ้า) พระบุตร(พระเยซู) และ พระจิต 3พระบุคคล เป็น1เดียวกัน<br /><br /><br /><br /><br />ซาตาน คือการพยายามเป็นใหญ่กว่าพระเจ้า การใช้เลข666 เพื่อพยายามบอกว่ามันใหญ่กว่า แต่จะเห็นว่าเลขมันเกินสมดุลย์ มีทฤษฎีที่ว่า ซาตานไม่ได้สร้างสิ่งไม่ดีหรือสร้างอะไรขึ้นมาได้เองเลย ผู้สร้างมีพระเจ้าผู้เดียว ซาตานใช้วิธี ทำให้สิ่งที่ดีกลายเป็นสิ่งไม่ดี เรียกว่าบาป โดยการทำให้โลกที่ดีอยู่แล้วนี้ เสียสมดุลย์ เช่นโลกเราเลวร้ายลงทั้งสิ่งแวดล้อม ทั้งการเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ เพราะการต้องการเกินพอดี สูบทรัพยากรเกินพอดี โลภเกินพอดี ทำลายสมดุลย์ จึงกลายเป็นความไม่ดี<br /><br />อย่างในข้อนี้<br /><br />วว 13:4<br />ทุกคนนมัสการมังกรเพราะมันมอบอำนาจให้สัตว์ร้าย และทุกคนยังนมัสการสัตว์ร้าย กล่าวว่า “ ใครเล่าเป็นเหมือนสัตว์ร้าย ใครเล่าต่อสู้กับสัตว์ร้ายได้”<br /><br />ที่จริงชื่อของอัครเทวดา มีคาแอล แปลว่า "ใครเล่าจะเหมือนพระเจ้า" ดังนั้นอีกเช่นกันที่ซาตานพยายามล้อเลียนชื่อของท่าน เพราะในบทเดียวกันนี้ ได้ทำนายถึงการพ่ายแพ้ของซาตานต่ออัครเทวดามีคาแอลด้วย<br /><br />ดังนั้นไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นสัจธรรมเสมอ และเรามั่นใจได้ ก็คือสุดท้ายแล้ว ความดีก็จะมีชัยเหนือความชั่ว และธรรมะย่อมชนะอธรรม ในที่สุดเข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-85825986792120670002009-10-07T22:43:00.000-07:002009-10-07T22:58:46.271-07:00666 = FRID หรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นอิสราเอลเตรียมเป็นประเทศที่ 2ในโลกที่ประกาศจะนำเทคโนโลยี RFID ไปใช้ในกองทัพเพื่อจัดการด้านยุทธภัณฑ์ต่างๆ<br /><br />หลังจากที่ สหรัฐฯได้ประกาศไปแล้วที่จะนำเทคโนโลยี RFID ไปใช้ในการจัดการด้านยุทธภัณฑ์ และเครื่องใช้ต่างๆในกองทัพแล้ว อิสราเอลก็เป็นประเทศที่ 2ที่ล่าสุดเพิ่งประกาศว่ามีแผนจะนำ RFID ไปใช้ในการควบคุมยุทธภัณฑ์ และเครื่องใช้ต่างๆในกองทัพ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกตั้งแต่การจัดเก็บสต๊อกของ, การตรวจสอบสต๊อกของเชื้อเพลิง พร้อมใช้ในการติดตามการขนส่งยุทธภัณฑ์จากคลังไปยังภาคสนาม ซึ่งนอกจากเทคโนโลยี RFID จะช่วยลดค่าใช้จ่ายแล้วยังจะช่วยสร้างความมั่นใจว่าของใช้ต่างๆจะไม่สูญหาย ระหว่างการขนส่งด้วย โดย RFID นั้นจะใช้เทคโนโลยีติดชิพขนาดเล็ก ที่สามารถส่งรหัสประจำตัว และรายละเอียดต่างๆผ่านทางคลื่นวิทยุได้ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาบันทึก หรือสแกนบาร์โค๊ดต่างๆในการเบิกเครื่องมือเครื่องใช้ และยังใช้ติดตามระหว่างการขนส่งได้ด้วย<br /><br />---------------------------<br />เอาละครับ เมืองหลวงของโลกเริ่มใช้ FRIDE หากวันนึงโลกต้องเกิดการจลาจลเพราะน้ำท่วมแผ่นดินไหว<br />กันดาลอาหาร คนที่ยึดครองอิสราเอลได้ เขาก็จะบังคับให้คนทั่วโลกฝัง FRID ลงในร่างกาย เพื่อง่ายต่อการควบคุมและติดตามมนุษย์ทุกคนอย่างแน่นอนเข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-23360383609145662092009-10-06T23:49:00.000-07:002009-10-06T23:56:11.179-07:00สถานที่ท่องเที่ยวเดี๋ยวมาอัฟเดทครับเข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-66128045608608551832009-10-06T23:40:00.000-07:002009-10-08T02:09:35.992-07:00คนที่คิดจะครองโลกต้องยึดอิสราเอลให้ได้<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkz6alQ4zDdsC7cdFoTf9HL48Ke8T_sFY5jFUWNuGNzoSDs6bZ5DUy2CXe0FFt-DTxuM6xLu_EX28ubhXbDnloE9v2DsNRn3t8HkjmKOyMyxrpDOHo1Z_EvzCeXWSOLbk0MHRSUO8GiByt/s1600-h/PDVD_001.BMP"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 400px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkz6alQ4zDdsC7cdFoTf9HL48Ke8T_sFY5jFUWNuGNzoSDs6bZ5DUy2CXe0FFt-DTxuM6xLu_EX28ubhXbDnloE9v2DsNRn3t8HkjmKOyMyxrpDOHo1Z_EvzCeXWSOLbk0MHRSUO8GiByt/s400/PDVD_001.BMP" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5390153574332431954" border="0" /></a><br /><br />คนที่คิดจะครองโลกต้องยึดอิสราเอลให้ได้<br />อิสราเอลเป็นใจกลางของโลก มีทุกอย่างที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะฉะนั้นดินแดนแห่งนี้จึงมีการแย่งชิงกันมาอย่างยาวนาน<br /><br /><span style="color: rgb(204, 0, 0); font-weight: bold;">เป็นที่น่าจับตามองว่า Google กับ Microsoft จับมือกันไปตั้งบริษัทธิ์ ที่อิสราเอลทำไม<br /><br /><br />สันติภาพจงมีแด่อิสราเอล<br /></span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-45532182987607660842009-10-06T23:37:00.000-07:002009-10-06T23:40:02.239-07:00พาสปอร์ต<span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">อิสราเอลเป็นประเทศเดียวที่ออกวีซ่าให้คนไทยยาวนานที่สุด แต่มีข้อแม้ในการสมัครวีซ่าเข้าประเทศ</span><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">คือ ต้องมีคนยิวรับรองในการจดวีซ่า</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-79452534353636660172009-10-06T23:35:00.000-07:002009-10-06T23:37:36.443-07:00สายการบิน<span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">อิสราเอลเป็นประเทศเดียวที่มีสายการบินบินตรงมาที่ประเทศไทยโยไม่แวะที่สนามบินใดเลย</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-48098207355178634262009-09-26T14:03:00.000-07:002009-10-08T02:21:47.887-07:00การทหาร<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjavqZH2S0q5K7HMRcgxlSXz6cJdnXti59afDF3q6kxXuRUIAMuJT6BiqaDLqzFJmIHEhH3rCuh47UNGaNrj8fyMBzm_qriqcLTo68-SenNLpk1lnTctS4pK9EArG3bas2Rwx2gjzzUacpA/s1600-h/PDVD_007.BMP"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 400px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjavqZH2S0q5K7HMRcgxlSXz6cJdnXti59afDF3q6kxXuRUIAMuJT6BiqaDLqzFJmIHEhH3rCuh47UNGaNrj8fyMBzm_qriqcLTo68-SenNLpk1lnTctS4pK9EArG3bas2Rwx2gjzzUacpA/s400/PDVD_007.BMP" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5390156589787866146" border="0" /></a><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-family:verdana;font-size:180%;" >เนื่องจากชาวยิวมีเพียง 20% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งพึ้นที่ของประเทศอิสราเอลเองมีพื้นที่เทียบเท่าจังหวัด อุบลราชธานี ของประเทศไทยเท่านั้นแต่กลับมีศัตรูรอบๆประเทศนับ 10 ประเทศ ฉะนั้นประชาชนชาวอิสราเอลจึงต้องเป็นทหารเกณฑ์ทั้งชายและหญิงเป็นเวลา 2 ปี เริ่มที่อายุ 18</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-50722750303150991122009-07-18T00:30:00.000-07:002009-09-26T14:02:52.420-07:00วัฒนธรรมการกินของอิสราเอล<span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" >อาหารหลักของอิสราเอล ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่เป็นประเทศ ก็จะเป็นพวก<br />1.แป้งข้าวสาลี นำมาทำเป็นขนมปัง ไร้เชื้อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกิน<br />2.แป้งข้าวสาลี นำมาทำเป็นขนมปัง มีเชื้อ (ขนมปังที่ฟูๆ) เป็นอาหารหลัก<br />3.เนื้อแกะ นมแกะ อาชีพหลักของคนอิสราเอลคือเลี้ยงแกะ ครอบครัวไหนมีแกะมากบ่งบอกถึงความมั่งมี<br />นอกจากแกะแล้ว คนฮีบรูก็ยังเลี้ยงแพะ โค ลา ซึ่งนำมาเป็นอาหารและส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา<br />4.น้ำองุ่นหมัก คนฮีบรูจะดื่มน้ำองุ่นเป็นเรื่องปกติเหมือนกับดื่มน้ำเปล่า</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-61488999255831293632009-07-15T10:52:00.000-07:002009-09-26T14:01:55.579-07:00แนวโน้มอิสราเอลในอนาคต<span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" >1.ในปี 2010 ประเทศอิสราเอลมีแนวโน้มที่จะเป็นเมืองหลวงของโลกแทนที่ของสหรัฐอเมริกา เหตุผลนะหรือ<br />1.1 ที่ตั้งของอิสราเอลอยู่ที่</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >จุดกึ่งกลางของโลก พอดิบพอดี</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" > ตั้งอยู่รอยต่อ 3 ทวีป คือ เอเซีย แอฟริกา และยุโรป<br />1.2 เมื่ออยู่กึ่งกลางโลกแล้ว</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" > การขนส่งการคมนาคม ก็จะสะดวก</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" >กว่าที่จะไปที่อเมริกา จริงไหม หากทำการค้ากับอิสราเอล ก็หมายความว่า ที่นี่คือจุดนัดพบของทุกประเทศทั่วโลก<br />1.3 ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจของอเมริกากำลังดิ่งลงๆ ส่วนฟากของเอเซียกลับดีขึ้นๆ หากยุโรปจะหันมาทำการค้ากับทางเอเซีย ก็</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >ต้องผ่านอิสราเอลมาก่อน</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" > ไหนๆก็ผ่านละ ก็จอดซะเลย ทุกๆทวีปก็จะเป็นเหมือนกันหมด ก็จะมองว่าอิสเอล</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >เป็นจุดถ่ายสินค้าที่ใหญ่ที่สุด</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" >เพราะ</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >เป็นจุดนัดพบของทุกประเทศทั่วโลก</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br />1.4 แน่นอนที่สุดผลที่ตามมาก็คือ อิสราเอล</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >จะกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุด</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-17488206250037213962009-07-15T10:29:00.000-07:002009-09-26T14:00:09.977-07:00ความเป็นที่สุดของอิสราเอล<span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" >1.</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >มีกษัตริย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" > คือ กษัตริย์ซาโลมอน พระองค์ทรงทำให้ทองในยุคของท่านมีค่าถูกกว่าเงิน<br />2.</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >มีกษัตริย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" > คือกษัตริย์ดาวิด ในยุคของพระองค์เป็นยุคที่ถือว่ารุ่งเรืองที่สุดของอิสราเอล พระองค์ไม่เคยรบแพ้ใครเลย<br />3.</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >เป็นประเทศที่มีบุคลากรที่ฉลาดที่สุดในโลก</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" > ยกตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของโลกหลายคนเป็นคนอิราเอล เช่น ไอสไตน์<br />4.</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก </span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >เป็นที่ซึ่งน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ </span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >ยกตัวอย่างง่ายๆ หากใครไม่เชื่อให้ลองเอาพืชเมืองไทยซักชนิดไปปลูกที่อิสราเอลดู แล้วคุณจะพบว่า พืชพวกนี้มันโดนไฟฉายขยายของโดเรมอนมาหรือไง</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br />5.</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >เป็นเมืองหลวงที่แท้จริงของโลก </span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >เยรูซาเล็ม เมืองหลวงของอิสราเอลตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของโลก รอยต่อของสามทวีป คือ ยุโรป เอเซีย และแอฟริกา </span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br />6.เป็นประเทศเดียวที่</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana; font-weight: bold;font-size:180%;" >ออกวีซ่าให้กับคนไทยยาวนานที่สุดในโลก</span><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br />7.เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานที่สุดในโลก ที่สามารถสืบค้นแล้วก็พิสูจน์ได้มีหลักฐาน อย่างชัดเจน<br />8.เป็นประเทศที่มีหนังสือที่มีการบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาตร์ของประเทศอย่างยาวนานและเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดในโลก (Bible)<br /><br />ผมนึกออกแค่นี้ไว้นึกออกอีกจะมาอัฟเดทให้นะครับ หรือใครนึกอะไรออกก็ เม้นไว้ได้นะครับ</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-11766248001182641402009-07-13T14:46:00.000-07:002009-09-26T13:59:23.675-07:00ภาพถ่ายสถานที่อิสราเอล<span style="font-family: webdings; color: rgb(51, 204, 255);font-size:180%;" >รอบแปบครับเดี๋ยวหารูปสวยๆก่อนครับ</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-43647072470261791612009-07-13T14:04:00.000-07:002009-09-26T13:57:45.929-07:00ความขัดแย้งระหว่างอาหรับ-อิสราเอล<span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" >ฉนวนกาซา<br />ปาเลสไตน์<br />ลิเบียนอาหรับแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 114<br />เวสต์แบงก์<br />สงครามหกวัน</span><br /><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Gz-map.png"></a><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99"></a>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-87626452171696927682009-07-13T13:58:00.000-07:002009-09-26T13:56:37.632-07:00เชื้อชาติ<span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-family:verdana;font-size:180%;" >ยุโรป 32.1% อิสราเอล 20.8% อาหรับ 19.9% แอฟริกา 14.6% เอเชีย 12.6%</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-11246731978182850972009-07-13T13:57:00.000-07:002009-09-26T13:55:18.164-07:00ภูมิศาสตร์<span style="font-family: webdings; font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);font-size:180%;" >แบบเมดิเตอร์เรเนียนร้อนแห้งในฤดูร้อน เย็นปานกลาง และมีฝนตกเล็กน้อยในฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ย ระหว่าง 8 - 36 องศา ฝนตกประมาณปีละ 64 วัน ปริมาณ 539 มิลลิเมตร</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-80251353404605701052009-07-13T13:55:00.000-07:002009-09-26T13:54:20.236-07:00การแบ่งเขตการปกครอง<span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" >ประเทศอิสราเอลแบ่งเป็น 6 เขต (เมโฮซอต [mehozot]; เอกพจน์ เมฮอซ [mehoz]) และ 13 เขตย่อย (นาฟอต [nafot]; เอกพจน์ นาฟา [nafa]<span style="text-decoration: underline;">)<br /></span>เขตเยรูซาเล็ม(Jerusalem District หรือ Mehoz Yerushalayim เมฮอซเยรูชาลายิม)<br />เมืองเอก:เยรูซาเล็ม<br />เขตเหนือ(North District หรือ Mehoz HaZafon เมฮอซฮาซาฟอน)<br />เมืองเอก: นาซาเร็ท(Nazareth)<br />เซฟัต (Zefat)<br />คินเนเรต (Kinneret)<br />ยิซเรเอล (Yizre'el)<br />อัคโค (Akko)<br />โกลัน (Golan)<br />เขตไฮฟา(Haifa District หรือ Mehoz Hefa เมฮอซเฮฟา)<br />เมืองเอก: ไฮฟา<br />ไฮฟา (Haifa)<br />ฮาเดรา (Hadera)<br />เขตกลาง(Center District หรือ Mehoz HaMerkaz เมฮอซฮาเมอร์คาซ)<br />เมืองเอก: รามลา<br />ชารอน (Sharon)<br />เปตาห์ติกวา (Petah Tiqwa)<br />รามลา (Ramla)<br />เรโฮวอต (Rehovot)<br />เขตเทลอาวีฟ(Tel Aviv District หรือ Mehoz Tel-Aviv เมฮอซเทล-อาวีฟ)<br />เมืองเอก: เทลอาวีฟ<br />เขตใต้(Southern District หรือ Mehoz HaDarom เมฮอซฮาดารอม)<br />เมืองเอก: เบเออเชบา<br />อัชเกลอน (Ashqelon)<br />เบเออร์เชวา (Be'er Sheva)</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-13327221672588193382009-07-13T13:52:00.000-07:002009-09-26T13:48:58.184-07:00วัสถาปณาชาติอิสราเอล<span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" >อิสราเอล นั้น เป็นที่ที่รู้ดีอยู่แล้วว่า เป็นนครรัฐเอกราชที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเพื่อเรียกร้องการกลับมาของ ประชาชาติยิว ในทุกดินแดนบนโลกนี้การอ้างสิทธิในการจัดตั้งรัฐยิวนั้น ต้องย้อนกลับเมื่อปี คศ.1897 ซึ่งเป็นปีที่มีการประชุม ของ สภานิยมยิว ( World Zionist Congress ) เป็นครั้งแรก โดยการเรียกร้องของ ธีโอดอร์ แฮร์ซล ด้วยการพิมพ์หนังสือปลุกใจ ที่มีคุณค่าในการโน้มนำ และสร้างกระแสให้เกิดขึ้นในหมู่ ยิว ทั่วโลก หนังสือที่ว่า คือ รัฐยิว หรือ ( The Jewish State) ความจริงแล้วในช่วงนั้น ดินแดนที่ยิวหวังจะกลับมาอีกครั้ง หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า ปาเลสไตน์ นั้น อยู่ภายใต้การปกครองของ จักรวรรดิออตโตมาน ซึ่งเป็น รัฐจักรวรรดิอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลกเวลานั้น ในตอนนั้น ปาเลสไตน์ ประกอบด้วย อาหรับประมาณ 1 ล้านคน ในขณะที่ ยิวมีเพียง 5 หมื่นคนความน่าประหลาดใจอยู่ตรงที่ ในเวลานั้นไม่มีเสียงคัดค้านต่อข้อข้อเสนอของ ธีโอดอร์ แฮร์ซล จากคนอาหรับแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่ง สุลต่านแห่งออตโตมานในเวลานั้นก็ยังให้การตอนรับ ธีโอดอร์ แฮร์ซล อย่างดี และนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม แม้ว่าผลการประชุมครั้งนั้นจะออกมากับคำตอบของการฏิเสธต่อข้อเสนอของ ธีโอดอร์ แฮร์ซล ก็ตามหากแต่ว่าท่าที ที่อ่อนน้อมและการต้อนรับอย่างสุภาพ กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง กับเหตุการณ์ในปัจจุบัน !!!นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ชาติมุสลิม ปฏิบัติ ต่อยิว ในสิ่งที่ตรงข้ามกับอุดมการณ์การต่อต้านยิว ในหมู่มุสลิมด้วยกันเองเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น การตอบสนองต่อคำเรียกร้องของ แฮร์ซล ก็กลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น เมื่อ ยิว ในส่วนต่างๆ ของยุโรป ได้อพยพครอบครัวเข้ามาอยู่ในปาเลสไตน์ นับหมื่นๆ คน ในปี คศ.1914 ด้วยความช่วยเหลือของมหาเศรษฐี และ องค์กรทั้งหลายของยิว ทำให้ยิว สามารถซื้อที่ดินในปาเลสไตน์ได้ถึง 100,000 เอเคอร์ ( 1 เอเคอร์ ประมาณ 2.5 ไร่ ) หรือประมาณ 400 ตารางกิโลเมตร ( เล็กกว่าเกาะภูเก็ตนิดนึง) จำนวนยิวที่อพยพเข้าไปอยู่ที่นั่นประมาณ 6 หมื่นคนนี่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกอีกประการ ที่บรรดาอาหรับทั้งหลาย ยินยอมขายที่ดินเหล่านี้ให้กับยิว ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า ยิวจะซื้อไปทำอะไร !!!หากจะมองในอีกแง่หนึ่งแล้ว การที่ตุรกี (หรือ จักรวรรดิออตโตมาน) ตัดสินใจเข้าร่วมกับเยอรมันรบกับอังกฤษ ก็คงเป็นความผิดพลาดด้วยอีกประการหนึ่ง เพราะผลการรบในครั้งนั้นปรากฏว่า อังกฤษได้รับชัยชนะในสงครามโลก และทำให้จักรวรรดิออตโตมานล่มสลายลงโดยสิ้นเชิง ปาเลสไตน์ซึ่งอยู่ในความปกครองของ ออตโตมาน มาตลอดจึงได้ตกไปอยู่ในมือของอังกฤษอังกฤษได้ประกาศสนธิสัญญาฉบับหนึ่งขึ้นมาในเวลานั้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอังกฤษในเดือนตุลาคม 1917 ต่อมาพันธมิตรของอังกฤษก็ได้ให้การยอมรับ และถูกนำเข้าไปรวมกับ ข้อบัญญัติว่าด้วยรัฐอารักขาของสันนิบาตชาติเหนือปาเลสไตน์ของอังกฤษในปี คศ. 1922 คำประกาศนี้ ชื่อว่า "คำประกาศบัลโฟร์" (Balfour Declaration) ซึ่งเขียนขึ้นโดย รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ คือ ลอร์ด อาเธอร์ เจ บัลโฟร์ ... เนื้อความสำคัญของประกาศก็คือ“รัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (หมายถึง กษัตริย์อังกฤษในเวลานั้น - ผู้เขียน) พิจารณาด้วยความเห็นชอบ ในการตั้งถิ่นฐานสำหรับพวกยิวขึ้นแห่งหนึ่งในประเทศปาเลสไตน์ และจะใช้ความพยายามจนสุดความสามารถที่จะอำนวยความสะดวกต่อการบรรลุถึงวัตถุประสงค์ข้อนี้ เป็นที่เข้าใจอย่างแจ้งชัดว่า จะไม่มีการปฏิบัติการใด ๆ อันเป็นผลร้ายต่อสิทธิพลเรือนและการนับถือศาสนา ของหมู่ชนที่มิใช่ชาวยิวในประเทศปาเลสไตน์ หรือสิทธิและสถานภาพทางการเมืองที่พวกยิวได้รับในประเทศอื่น” 1ที่มาของ คำประกาศข้างต้นนั้น ความมีอยู่ว่า เมื่อราว ๆ ปี 1915 มีการติดต่อกันทางจดหมายระหว่าง เซอร์ เฮนรี่ เมคมาฮอน (Sir Henry McMahon) ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอียิปต์ กับ ชารีฟ ฮุสเซน (Sharif Hussein) ผู้ครองแคว้นฮิญาชและเป็นตัวแทนของชาวอาหรับทั้งผอง ข้อใหญ่ใจความของจดหมายระบุว่า เมคมาฮอนพยายามเกลี่ยกล่อมให้ชาวอาหรับสนับสนุนฝ่ายมหาอำนาจพันธมิตร สู้รบกับฝ่ายมหาอำนาจอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสัญญาจะให้เอกราชแก่ชาวอาหรับในทุก ๆ ดินแดนหลังจากสงครามยุติลง รวมถึงปาเลสไตน์ด้วย ด้วยเหตุนี้ อังกฤษจึงได้ลงนามในข้อตกลงแองโกล-อาหรับในฤดูใบไม้ร่วงปี 1915 นั่นเอง คำสัญญาดังกล่าวทำให้ ชารีฟ ฮุสเซน เข้าร่วมรบกับกองทัพฝ่ายพันธมิตร ชาวอาหรับจากซีเรีย เลบานอน และปาเลสไตน์ ก็เข้าร่วมลุกฮือขึ้นก่อกบฎต่อต้านอาณาจักรออตโตมานที่ประกาศเข้าร่วมสงครามในนามฝ่ายอักษะ ชาวอาหรับยินดีต้อนรับกองทัพอังกฤษที่เข้ามาในปาเลสไตน์ เปรียบทหารอังกฤษเหล่านั้นเป็นเสมือนผู้มาปลดปล่อยให้พวกเขามีอิสรภาพ หลังจากต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของตุรกีมานานเกือบ 500 ปี แต่แล้วชาวอาหรับก็ถูกหักหลัง เพราะไม่เพียงแต่อังกฤษจะไม่รักษาคำมั่นสัญญาเท่านั้น แต่ยังไปสนับสนุนองค์กรยิวไซออนิสต์ให้จัดตั้งรัฐยิวขึ้นในปาเลสไตน์ โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับชาวอาหรับเจ้าของดินแดนแต่ประการใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังออกมาตรการต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวยิวได้อพยพเข้ามาในแผ่นดินปาเลสไตน์แบบไม่จำกัดจำนวน ในเวลานั้น ประชากรของประเทศปาเลสไตน์ทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 700,000 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 หรือประมาณ 600,000 คนเป็นชาวอาหรับมุสลิม ซึ่งครอบครองดินแดนถึงร้อยละ 90 ที่เหลืออีกร้อยละ 10 เป็นที่อยู่อาศัยของชาวยิว ซึ่งมีประชากรอยู่ประมาณ 70,000 คน พอมาถึงปี1947 ที่รัฐยิวถูกสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่า ประชากรยิวเพิ่มขึ้นถึง 600,000 คน ซึ่งนับเป็น 1 ใน 3 ของประชากรในดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมด หรือมีการเพิ่มขึ้นของประชากรยิวถึงร้อยละ 725 เลยทีเดียว สัดส่วนของการครอบครองที่ดินก็เปลี่ยนไปมาก อันนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อชุมชนอาหรับท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายขององค์กรยิวไซออนิสต์ ที่ปฏิเสธการจ้างงานชาวอาหรับปาเลสไตน์</span><a href="http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=1124.0"><br /></a>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-66596045418894748272009-07-13T09:54:00.000-07:002009-09-26T13:47:34.923-07:00ประวัติศาตร์ชาติของอิสราเอล<span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-family:verdana;font-size:180%;" >กำเนิดของชาวฮิบรูเริ่มขึ้น เมื่อ 4,000 ปีก่อน<br /><br />โดยบรรพบุรุษของชาวยิว ชื่ออับราฮัม (อิบรอฮิม) ได้พาครอบครัวของตนอพยพออกมาจากนครเออร์ (ur) ในดินแดนเมโสโปเตเมียของอาณาจักรสุเมเรีย ชื่อเมืองฮาราน เหตุผลที่อับราม(ชื่อเดิมของอับราฮัม)ออกจากเมืองฮาราน เพราะว่าพระเจ้าทรงเรียกอับราม พระเจ้าตรัสกับอับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไปแล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"<br /><br />ฝ่ายอับรามก็ไปตามพระดำรัสของพระเจ้า<br />พาครอบครัวออกเดินทางไปยังแผ่นดิน คานาอัน มาถึงภูเขาทางทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล จึ่งตั้งเต้นท์อยู่ที่นั่นให้เมืองเบธเอลอยู่ทางทิศตะวันตกและให้เมืองอัยอยู่ทางทิศตะวันออก ยกเต้นท์เดินทางไปเรื่อยเป็นระยะๆยังเนเกบ<br /><br />อับรามมีลูกด้วยกันสองคน คนแรกคือ อิชมาเอล (yismael) ที่เกิดกับหญิงทาสชื่อว่า นางฮาการ์ (hagar) คนที่สองคือ อิสอัค (ishak) เกิดกับซาราห์ (sarah) ภรรยาของท่าน ซึ่งเป็นหมัน ที่พระเจ้าที่มีชื่อเรียกว่ายะโฮวา(Jehovah) สัญญาไว้ว่าจะทรงเพิ่มพูนลูกหลานของท่านให้มากมายดั่งเม็ดทรายในทะเล และดวงดาวในท้องฟ้า ผ่านทางนาง<br /><br />และในกาลถัดมา ได้ปรากฏว่า เชื้อสายของอิชมาเอลที่อพยพไปทางใต้หรือแหลมอาเบีย ได้กลายเป็นต้นตระกูลของชาวอาหรับทั้งหมด ส่วนเชื้อสายของอิสอัคนั้น เป็นต้นตระกูลของชาวอิสราเอลโดยอิสอัคมีลูกด้วยกันสองคนคือ เอซาว(esau) และยาโคบ (jacob)หรืออิสราเอล เพราะพระเจ้าตั้งชื่อให้ใหม่ว่าอิสราเอล<br /><br /><br />ยาโคบมีลูกด้วยกันสิบสองคนคือ รูเบน ซิเมโอน เลวี ยูดาห์ เศบูลุน อิสสาคาร์ ดาน อาเชอร์ กาด นัฟทาลี โยเซฟ และเบนจามิน โดยเรียกบุตรสิบสองคนนี้ว่า อิสราเอลไลย์ (israeliah)<br /><br />ต่อมาพวกพี่ชายของโยเซฟได้ขายโยเซฟไปยังอียิปต์ เหตุเพราะความชังและความอิจฉาเรื่องความฝันของโยเซฟ ซึ่งคำทำนายฝันของคนสมัยนั้นบ่งบอกว่า บิดามารดาและพี่น้องจะมาซบหน้าถึงดินกราบไหว้โยเซฟ จึงได้วางแผนกันกำจัด โดยการผลักโยเซฟลงบ่อกลางทะเลทราย และฉีกเสื้อผ้าของเขานำเลือดแพะมาปะพรมไปบอกแก่บิดาว่า โยเซฟได้เสียชีวิตไปเสียแล้วเหตุเพราะหมาป่าฆ่า แล้วก็ขายโยเซฟให้กับพ่อค้าทาสชาวมีเดียน ก่อให้เกิดความโศกเศร้าแก่ยาโคบ หรืออิสราเอลเป็นอย่างมาก<br /><br />คนมีเดียนก็ขายโยเซฟในอียิปต์ไว้กับโปทิฟาร์ ขุนนางผู้หนึ่งของฟาโรห์ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์<br /><br />โยเซฟอยู่ในบ้านคนอียิปต์นายของเขา นายก็เห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟและพระเจ้าทรงโปรดให้การงานทุกอย่างที่กระทำเจริญขึ้นมากในมือของโยเซฟ โยเซฟรับใช้ถูกใจนาย นายก็ตั้งให้เป็นผู้ดูแลการงานในบ้านและมอบทรัพย์สิ่งของไว้ในการดูแลของโยเซฟทั้งสิ้น<br /><br />โยเซฟนั้นเป็นคนหน้าตาคมคาย อยู่มาภายหลังภรรยาของนายมองดูโยเซฟด้วยความปฏิพัทธ์ และชวนว่า "มานอนกับฉันเถิด" แต่โยเซฟไม่ยอม จึงตอบแก่ภรรยาของนายว่า "คิดดูเถิด เมื่อมีข้าพเจ้า นายก็มิได้หวงสิ่งใดซึ่งอยู่ในบ้านเรือนได้มอบของทุกอย่างไว้ในมือข้าพเจ้า ยกเสียแต่ตัวท่านเพราะเป็นภรรยาของนาย ข้าพเจ้าจะทำความผิดใหญ่หลวงนี้อันเป็นบาปต่อพระเจ้าอย่างไรได้" แม้นางชวนโยเซฟวันแล้ววันเล่า โยเซฟก็ไม่ยอมนอนกับนางหรืออยู่ด้วยกัน วันหนึ่ง โยเซฟได้เข้าไปในบ้านเพื่อทำธุรการงานของเขา ไม่มีชายประจำบ้านคนใดอยู่ในนั้น นางก็คว้าเสื้อผ้าโยเซฟเหนี่ยวรั้งไว้แล้วพูดว่า "มานอนกับฉันเถิด"แต่โยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือนางหนีไปข้างนอก เมื่อนางเห็นว่าโยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือของนาง หนีไปข้างนอกแล้ว นางก็ร้องเรียกชายประจำบ้านของตนมาบอกว่า "ดูซิ นายเอาคนชาติฮีบรูมาไว้ทำหยาบคายแก่เรา มันเข้ามาหาจะนอนกับฉัน แต่ฉันร้องเสียงดัง เมื่อมันได้ยินฉันร้องขึ้นมันก็ทิ้งเสื้อผ้าไว้กับฉันหนีไปข้างนอก"<br /><br />ครั้นนายได้ฟังคำภรรยา ก็โกรธนัก จึงเอาโยเซฟไปจำไว้ในคุกที่ที่ขังนักโทษหลวงโยเซฟก็ต้องจำอยู่ที่นั่น<br /><br />ต่อมาอีก2ปีเต็มฟาโรห์ทรงสุบินว่าทรงยืนอยู่นิมฝั่งแม่น้ำไนล์ มีโคเจ็ดตัวอ้วนพีน่าดูขึ่นมาจากแม่น้ำไนล์นั้นกินใบอ้ออยู่ แล้วมีโคอีกเจ็ดตัวซูบผอมน่าเกลียดตามขึ้นมาจากฝั่งแม่น้ำไนล์ โคซูบผอมน่าเกลียดก็กินโคอ้วนพีน่าดูเจ็ดตัวนั้นเสียแล้วฟาโรห์ก็ตื่นบรรทม พระองค์ก็บรรทมหลับไปสุบินครั้งที่สองว่า ต้นข้าวต้นเดียวมีรวงเจ็ดรวงเป็นข้าวเมล็ดเต่งงามดี แล้วมีรวงข้าวเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลังเป็นข้าวลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออกรวงข้าวลีบเจ็ดรวงนั้นได้กลืนกินข้าวรวงงามดีนั้นเสีย แล้วฟาโรห์ก็ตื่นบรรทมก็รู้ว่าเป็นพระสุบิน ครั้นเวลารุ่งเช้า พระองค์มีพระทัยเศร้าโศก จึงรับสั่งปราชญ์ทั้งปวงของอียิปต์มาเฝ้า แล้วฟาโรห์ทรงเล่าพระสุบินให้เขาฟัง แต่ไม่มีผู้ใดทูลแก้พระสุบินนั้นแก่ฟาโรห์ได้ ซึ่งในขณะนั้นโยเซฟได้เคยกล่าวอ้างให้ผู้คนในคุกฟังว่า ตนเองสามารถทำนายฝันได้ เขาจึงถูกพาตัวมาเข้าเฝ้าฟาโรห์ และทำนายถึงพระสุบินของพระองค์<br /><br />โยเซฟจึงทูลฟาโรห์ว่า คือพระเจ้าทรงสำแดงให้ฟาโรห์รู้สิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ จะมีอาหารบริบูรณ์ทั่วทั้งอียิปต์เจ็ดปี หลังจากนั้นจะบังเกิดการกันดารอาหารอีกเจ็ดปี ที่ฟาโรห์สุบินสองครั้งนั้น ก็หมายความว่าสิ่งนั้นพระเจ้ากำหนดไว้แล้วและพระเจ้าจะทรงให้บังเกิดเร็วๆนี้ เพราะฉะนั้นขอฟาโรห์เลือกคนที่มีความคิดดี มีปัญญา ตั้งให้ดูแลประเทศอียิปต์ ขอให้ฟาโรห์ทำดังนี้คือจัดพนักงานไว้ทั่วแผ่นดินแล้วเก็บผลหนึ่งในห้าส่วนแห่งประเทศอียิปต์ไว้ ตลอดเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น ให้คนเหล่านั้นเก็บอาหารในปีที่อุดมเหล่านั้นซึ่งจะมาถึงนั้นไว้ และสะสมข้าวด้วยอำนาจของฟาโรห์ไว้เป็นอาหารในหัวเมือง และให้เขาตุนไว้ อาหารนี้จะได้เป็นเสบียงสำรองในแผ่นดินระหว่างเจ็ดปีที่กันดารอาหาร ซึ่งจะเกิดขึ้นในประเทศอียิปต์ ดังนั้นแผ่นดินจะไม่พินาศเสียไปเพราะกันดารอาหาร<br /><br />ทำให้ฟาโรห์ทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ดูแลทั่วราชอาณาจักร แต่งตั้งเป็นใหญ่มีอำนาจรองจากฟาโรห์<br />และเขาได้นำพี่น้องทั้งหมดที่ต้องประสบกับภัยแล้งในคานาอันเข้ามาอยู่อาศัยในแผ่นดินอียิปต์<br /><br />ครั้นพอสิ้นโยเซฟไป ฟาโรห์องค์ต่อๆมาไม่รู้จักโยเซฟและได้เกิดความไม่ไว้ใจต่อชาวฮีบรู ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จึงได้แยกฮีบรูให้ไปอยู่อีกอาณาเขตหนึ่งห่างจากพวกตน และลดฐานะให้เป็นทาส แล้วเกณฑ์แรงงานไปใช้ในการก่อสร้างพีระมิด อีกทั้งปริมาณประชากรของชาวฮีบรูได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ฟาโรห์ต้องมีคำสั่งให้ประหารชีวิตเด็กเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก<br /><br />อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ามีทารกเพศชายคนหนึ่งรอดตายจากคำสั่งประหารนั้นมาได้ เพราะมารดาได้นำเด็กใส่ตระกร้าลอยน้ำ เจ้าหญิงอียิปต์องค์หนึ่งทรงพบเข้า และนำเขาไปอุปการะ ประทานชื่อว่า โมเสส (Moses) พระนางตรัสว่า"เพราะเราได้ฉุดเขาขึ้นมาจากน้ำ"<br /><br />โมเสสเติบโตขึ้น เป็นผู้มีสติปัญญาดี และได้รับการศึกษาสูงเยี่ยงเจ้าชายองค์หนึ่ง เขามีจิตเมตตา และสงสารทาสชาวฮีบรูที่ถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้างพีระมิดให้ฟาโรห์ และถูกผู้คุมทำทารุณกรรมต่างๆ จนเผลอพลั้งสังหารผู้คุมคนหนึ่ง เพื่อต้องการช่วยเหลือทาสที่กำลังถูกทารุณ<br /><br />กาลนั้นเขาได้ละทิ้งตำแหน่งและฐานันดรของตัวเอง มาอยู่กับพวกทาสชาวฮีบรู ทำตามพระบัญชาของพระเจ้าคือพาพวกเขาหลบหนีจากอียิปต์ไปสู่ประเทศปาเลสไตน์ ดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า ที่ทรงประทานให้แก่พวกเขา<br /><br />ณ ดินแดนแห่งนี้ พระเจ้าได้วางระเบียบสังคมให้กับชาวฮีบรู<br /><br />1) </span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-weight: bold;font-family:verdana;font-size:180%;" >ด้านกฎหมาย </span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-weight: bold;font-family:verdana;font-size:180%;" >จัดทำกฎหมายและกำหนดระเบียบการปกครองพวกอิสราเอลไลท์ขึ้น กฎหมายและระเบียบการปกครองดังกล่าว มีสารที่สำคัญคือ ให้ถือว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของชาวอิสราเอลไลท์ พระเจ้าทรงมอบหน้าที่ให้ผู้แทนของพระองค์ (ซึ่งได้มาโดยการเลือกตั้ง) เรียกว่า "ยัดซ์" (Judge) แปลว่า "ผู้วินิจฉัย" ทำหน้าที่เป็นตุลาการพิพากษาคดี แผ่นดินทั้งหมดเป็นสมบัติของพระเจ้า ห้ามซื้อขาย ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับข้อห้ามทางศาสนาจะต้องได้รับโทษอย่างหนัก ผู้กระทำผิดทางอาญาเช่นไร จะต้องได้รับโทษตอบแทนในทำนองเดียวกัน (ตาต่อตาฟันต่อฟัน)</span><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-family:verdana;font-size:180%;" ><br /><br />2) </span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-weight: bold;font-family:verdana;font-size:180%;" >ด้านศาสนา</span><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-family:verdana;font-size:180%;" > กำหนดให้มีพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวคือ "ยาเวห์" หรือ ยะโฮวา (Yaveh,Yahoveh) พระเจ้าทรงประทานกฎแห่งความประพฤติ (ศีล) แก่ประชาชน 10 ประการ เรียกว่า บัญญัติ 10 ประการ (Ten Commanments)<br /><br />พวกฮีบรูมีความสามัคคีและมีกำลังเข้มเข็งขึ้น จึงได้ทำการรวบรวมดินแดนโดยรอบ อันได้แก่ ดินแดนของพวกคานัน และพวกอาราเอลไลท์ แต่ก็ถูกรุกรานจากพวกพวกฟิลิเตีย (Philistine) ซึ่งอพยพจากเกาะครีต (Crete) และเข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบชายทะเล ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปาเลสไตน์ และพวกอามอไรท์กับฮิตไตท์จากทางเหนือ<br /><br />ทำให้อิสราเอลร้องขอกษัตริย์พระเจ้าจึงได้เลือกชายที่เข้มแข็งขึ้นมาผู้หนึ่งชื่อ ซาอูล (Saul) ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรก เมื่อประมาณ 1050 ปี ก่อนคริสตกาล<br /><br />ต่อมาซาอูลได้ปลงพระชนม์พระองค์เอง ในสงครามระหว่างคนฟิลิสเตียกับชาวอิสราเอล เนื่องจากอิสเอลหนีจากการไล่ล่าของคนฟิลิสเตีย การรบหนักประชิดตัว<br />ซาอูลเข้าไป นักธนูมาพบพระองค์เข้าพระองค์ก็บาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือนักธนู<br /><br />พระเจ้าได้เลือกคนเลี้ยงแกะซึ่งมีย่าทวดเป็นชาวโมอับ(อิรักในปัจจุบัน) อดีตข้าราชสำนักของซาอูลมีความสามารถในการดีดพินและในการสงครามกันขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงมีพระนามว่า ดาวิด(David)<br /><br />ดาวิดทรงครองราชย์ อยู่ระหว่าง 1705-993 ปี ก่อนคริสตกาล สมัยของพระองค์นับได้ว่า เป็นสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของพวกอิสราเอลไลท์ ทรงตีได้นครเยรูซาเล็มของพวกเคนันไนท์(ฟิลิสเตียหรือลูกครึ่งยิวกับคนคนาอัน) และสถาปนาอาณาจักรยูดาห์ (Udah) ขึ้น ณ บริเวณเนินสูงยูเดีย และสมัยนี้เองที่พวกฮิบรูหรืออิสราเอลไลท์ ได้เรียกตัวเองว่า "ยูดาย" หรือ ยิว (Jew)<br /><br />ครั้นสิ้นรัชสมัยกษัตริย์ดาวิด ซาโลมอน โอรสของกษัตริย์ดาวิดทรงทำให้เยรูซาเลมมั่งคั่งและรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ทรงสร้างวัดและโบสถ์วิหารงดงามขึ้นในอาณาจักรยูดาห์ ทรงทำนุบำรุงศาสนาประจำชาติของยิวให้เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก จากคลังทรัพย์ของดาวิดที่เตรียมไว้ให้ก่อนสิ้นพระชนม์<br /><br />อย่างไรก็ตาม ปลายรัชกาลของกษัตริย์ซาโลมอนทรงปล่อยให้ลัทธิศาสนาฟินีเซียนและอียิปต์ ซึ่งบูชารูปเคารพและนับถือเทพเจ้าหลายองค์เข้ามา ทำให้ประชาชนทางเหนือพากันรับนับถือเทพเจ้าของลัทธิศาสนาอื่นมากขึ้น<br /><br />ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ เมื่อ ปี 930 ก่อนคริสต์ศักราช ทำให้อานาจักรของซาโลมอนแตกออกป็นสองส่วนคือ อาณาจักรอิสราเอล (the kingdom of israel) โดยมีกรุงสะมาเรียเป็นเมืองหลวง และอาณาจักรยูดาห์ (the kingdom of judah) โดยมีเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลาง<br /><br />350 ปีต่อมา อาณาจักรทั้งสองต้องล่มสลายไป โดยอาณาจักรที่ล่มสลายไปแห่งแรกคือ อาณาจักรอิสราเอล ถูกยึดครองโดยพวกอัสซีเรีย (assyrian) ในปี 721 ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งนำโดยกษัตริย์ซาร์กอนที่ 2 และกวาดต้อนชาวยิวไปยังบาบิโลนแต่กษัตริย์ซาร์กอน ไม่ได้บุกยึดอาณาจักรยูดาห์ เพราะอาณาจักรยูดาห์ได้ทำการจ่ายภาษี และส่งเครื่องบรรณาการมาแทน<br /><br />ต่อมา ปี 587 ก่อนคริสต์ศักราช อาณาจักรยูดาห์ต้องล่มสลายตามไป โดยเนบูคัดเนสซาร์แห่งอาณาจักรเคลเดียมีชัยต่ออัสซีเรีย จึงตัดสินใจบุกอาณาจักยูดาห์ต่อ เขาได้ทำลายวิหารยะโฮวาห์ และกวาดต้อนชาวอาณาจักรยูดาห์ไปยังบาบิโลนและให้อิสระแก่ยิวในการประกอบกิจทางศาสนา และจัดให้อยู่เป็นนิคมยิว (the jewish dispora) จึงทำให้ยิวสามารถรักษาสภาพเป็นยิวและภาษาของตัวเองได้<br /><br />ต่อมาปี 538 ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าไซรัส (king cyrus) แห่งเปอร์เซียมีชัยต่ออัลคาเดียน จึงได้ปลดปล่อยชาวยิว 50,000คน กลับเยรูซาเล็ม ทำให้ยิวมีอาณาจักรของตัวเองอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ด้วยในปี 332 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวยิวได้ตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช(alexander) ที่มีชัยต่อเปอร์เซียในการเข้าบุกยึดดินแดน<br /><br />จนกระทั่งปี 129 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวยิวได้มีอิสระกลับคืนมาอีกครั้ง แต่ในปี 63 คริสต์ศักราช ชาวยิวก็กลับเข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันแทนกรีก ทำให้ชาวยิวลำบากมากขึ้น เพราะโรมันได้นำเอารูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ มาวางไว้ในวิหารยะโฮวาห์ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวยิวที่นับถือพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ทำให้ชาวยิวถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ และถูกปราบปรามด้วยการประหารมากมาย<br /><br />ต่อมา ปี ค.ศ 313-636 ชาวยิวตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกไบแซนไทน์ (byzantine) ที่นับถือคริสต์ ไบแซนไทน์ได้สร้างโบถส์คริสต์หลายแห่งแถวโบถส์ยิวและกาลิลีจนกระทั่งได้จำกัดชาวยิวให้เข้าไปในเยรูซาเล็มได้บางวันเท่านั้น ทำให้ยิวคิดก่อการกบฏ โดยยิวได้พยายามติดต่อพวกเปอร์และเป็นสายลับให้แก่เปอร์ จนกระทั่งเปอร์มีชัยเหนือไบแซนไทน์ในปี ค.ศ. 614 แต่เป็นเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นที่ยิวมีอิสระ<br /><br />หลังจากนั้นยิวตกอยู่ภายใต้ไบแซนไทน์อีกครั้ง จึงทำให้ยิวถูกเนรเทศเกือบทั้งหมดและบางส่วนถูกฆ่า ยิวได้อพยพไปยังแอฟริกา ยุโรป เปอร์เซียแลและแหลมอาระเบียต่อมาปี ค.ศ 632 ยิวตกอยู่ภายใต้อาณาจักอิสลาม ที่ได้ให้อิสระแก่ยิวในการนับถือศาสนาในฐานะพลเมือง ยิวบางส่วนได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามแทนทน แต่ก็มีจำนวนมากที่ยังคงเป็นยิว และอยู่ร่วมกับมุสลิมได้อย่างสงบสุข<br /><br />ในปี ค.ศ.1897 อิสเอลได้รวมกลับมาเป็นชาติอีกครั้งหนึ่ง รัฐอิสราเอลก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1947หลังอำนาจของอังกฤษเหนือปาเลสไตน์สิ้นสุดลง ขณะที่ฝ่ายปาเลสไตน์กลับมองวันสถาปนารัฐอิสราเอลว่าเป็นเสมือนวันแห่งความเศร้าสลดและหายนะสำหรับชาวปาเลสไตน์ เนื่องจากเป็นวันแห่งการสูญเสียบ้านเรือนและดินแดนให้แก่รัฐ "ยิว" และชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนต้องอพยพไปอยู่ต่างแดน</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-56314016780139836992009-07-13T09:51:00.001-07:002009-09-26T13:40:46.355-07:00เศรษฐกิจและการค้า<span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" >ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 162 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2550)รายได้ประชาชาติต่อหัว 22,600 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2550)การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ ร้อยละ 5.3 (ปี 2550)อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 0.5(ปี 2550)อุตสาหกรรม เทคโนโลยีระดับสูง ผลิตภัณฑ์ไม้และกระดาษ โปแตซและฟอสเฟต อาหาร เครื่องดื่ม ยาสูบ ซีเมนต์ การก่อสร้าง โลหะและเคมีภัณฑ์ พลาสติก การเจียระไนเพชร เสื้อผ้าและรองเท้าทรัพยากรธรรมชาติ โปแตซ โบรมีน และเกลือแร่จาก Dead Seaสินค้านำเข้าสำคัญ วัตถุดิบ อาวุธยุทโธปกรณ์ เชื้อเพลิง เพชร เมล็ดข้าว สินค้าอุปโภคบริโภคสินค้าส่งออกสำคัญ เครื่องจักรและอุปกรณ์ software เพชรเจียระไน ผลิตภัณฑ์เกษตร เสื้อผ้า ตลาดนำเข้าสำคัญ สหรัฐฯ เบลเยียม เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักรตลาดส่งออกสำคัญ สหรัฐฯ เบลเยียม ฮ่องกงระบบเศรษฐกิจอิสราเอลมีลักษณะผสมผสานระหว่างการที่รัฐเข้าไปมีบทบาทควบคุมกิจการที่มีกำลังการผลิตและการจ้างงานสูง ขณะที่ภาคเอกชนก็สามารถมีกิจการได้โดยเสรี โดยทั่วไปแล้ว เศรษฐกิจของอิสราเอลจะอยู่ใต้อิทธิพลของความจำเป็นด้านความมั่นคงทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ต้นไม้ ธาตุทองแดง โปแตช ก๊าซธรรมชาติ หินฟอสเฟต โบรมีน อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 0.5 (ปี 2550)อัตราผู้ว่างงาน ร้อยละ 7.6 (ปี 2550)สินค้าส่งออกที่สำคัญ เครื่องจักรและอุปกรณ์ software เพชรเจียระไน ผลิตภัณฑ์เกษตร เสื้อผ้าสินค้านำเข้าที่สำคัญ วัตถุดิบ อาวุธยุทโธปกรณ์ เชื้อเพลิง เพชร เมล็ดข้าว สินค้าอุปโภคบริโภคประเทศคู่ค้าที่สำคัญ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี เบลเยี่ยม สวิตเซอร์แลนด์ จีน ฮ่องกง - ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เบลเยี่ยม ฮ่องกง สหราชอาณาจักร- ตลาดนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เบลเยี่ยม เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร<br />ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัฐอิสราเอลความสัมพันธ์ทั่วไปความสัมพันธ์ด้านการเมืองไทยและอิสราเอลได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2497 โดย อิสราเอลได้เปิดสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2500 และไทยจัดตั้งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เมื่อเดือนมกราคม 2539 โดยมีนายรณรงค์ นพคุณ ดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ คนแรก นอกจากนี้ ไทยยังได้จัดตั้งสำนักงานที่ปรึกษาการพาณิชย์ที่กรุงเทลอาวีฟ ตั้งแต่ปี 2531 และสำนักแรงงานไทยในอิสราเอล ตั้งแต่ปี 2540 ทั้งนี้ ไทยมีกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงเทลอาวีฟ คือนาย Eddy S. Strod ตั้งแต่ปี 2535 และกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำเมืองไฮฟา คือ นาย Joseph Gillor ในปีเดียวกันไทยและอิสราเอลมีความสัมพันธ์ทวิภาคีและความร่วมมืออันดีต่อกัน และมีกรอบการหารือทวิภาคีในลักษณะ Working Group Dialogue ในระดับอธิบดีของกระทรวงการต่างประเทศ ล่าสุด ทั้งสองฝ่ายมีการประชุมร่วมครั้งที่ 4 ที่กรุงเทพฯ เมื่อ 17 พฤษภาคม 2549 โดยได้หารือในประเด็นที่เกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า ความร่วมมือทางวิชาการและเทคโนโลยี องค์การระหว่างประเทศ และแรงงานไทยในอิสราเอลความสัมพันธ์ด้านการเศรษฐกิจมูลค่าการค้าระหว่างไทย-อิสราเอลยังอยู่ในอัตราที่น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการค้ากับประเทศต่างๆ โดยไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด ในปี 2550 ปริมาณการค้าของไทยกับอิสราเอล มีมูลค่า 1,220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกสินค้าไปอิสราเอล มูลค่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าสินค้าจากอิสราเอล มูลค่า 520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าถึง 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ไทยส่งออกไปอิสราเอลที่สำคัญ ได้แก่ 1) อัญมณีและเครื่องประดับ 2) เม็ดพลาสติก 3) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ 4) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 5) เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ 6) ข้าว 7) คอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น 8) ผลไม้กระป๋อง 9) ผลิตภัณฑ์ยาง 10) เส้นใยประดิษฐ์ สินค้าที่ไทยนำเข้าจากอิสราเอลที่สำคัญ ได้แก่ 1) เครื่องเพชร พลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ 2) ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ 3) แผงวงจรไฟฟ้า 4) เคมีภัณฑ์ 5) เครื่องมือเครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์และการทดสอบ 6) เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 7) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 8) ด้ายและเส้นด้าย 9) ธุรกรรมพิเศษ 10) สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมการท่องเที่ยว ในปี 2550 มีนักท่องเที่ยวอิสราเอลมาไทยประมาณ 130,000 คน และคนไทยไปอิสราเอล 9,915 คนแรงงาน- ปัจจุบัน แรงงานไทยในอิสราเอลมีประมาณ 26,000 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภาคเกษตรและการบริการร้านอาหารและโรงแรมประมาณ 1,000 คน โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับการทำงานเต็มเวลา 186 ชั่วโมงต่อเดือน คือ 3,335.18 เชคเกล อัตราค่าจ้างขั้นต่ำต่อการทำงานเป็นรายชั่วโมงคือชั่วโมงละ 17.93 เชคเกล และอัตราค่าจ้างล่วงเวลาซึ่งตามกฎหมายลูกจ้างที่ทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมง มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในชั่วโมงที่ 9 เป็นต้นไป โดย 2 ชั่วโมงแรกที่เกินชั่วโมงทำงานปกติจะได้รับค่าล่วงเวลาชั่วโมงละ 125% ของค่าจ้างปกติ ส่วนชั่วโมงที่ 3 เป็นต้นไป จะได้รับค่าล่วงเวลาชั่วโมงละ 150% ของค่าจ้างปกติ สำหรับงานบ้านหรือทำงานดูแลนายจ้าง และอาศัยอยู่ในบ้านของนายจ้าง ซึ่งมีการทำงานเกินชั่วโมงทำงานปกติ ศาลแรงงานแห่งชาติอิสราเอลได้มีคำพิพากษาให้คำนวณค่าล่วงเวลาโดยคิดรวมเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 30 ของค่าจ้างปกติ โดยที่ผ่านมาปัญหาที่มักเกิดขึ้น ได้แก่ ปัญหาค่านายหน้าในการจัดหางานที่สูง (170,000-330,000 บาท) และการไม่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายและค่าจ้างล่วงเวลา ซึ่งการดูแลคุ้มครองค่อนข้างลำบากเพราะแรงงานไทยกระจายทำงานใน Kibbutz (คิบบุตซ์ หรือหมู่บ้านฟาร์ม) รายย่อยๆ ทั่วไป- กระทรวงการต่างประเทศได้หยิบยกปัญหาเหล่านี้กับฝ่ายอิสราเอลบ่อยครั้ง และพยายามผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะปัญหาค่านายหน้าในการจัดหางานที่สูง เมื่อเดือนมิถุนายน 2548 รัฐบาลอิสราเอลได้ตัดสินใจที่จะดำเนินแผนความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration – IOM) เพื่อยุติการเอารัดเอาเปรียบแรงงานต่างชาติในอิสราเอล เพื่อลดข้อครหาและปรับปรุงภาพลักษณ์ของอิสราเอลด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนคนต่างด้าว โดยขอให้ IOM วางแผนการจัดจ้างแรงงานไทยที่ไปรับจ้างในสาขาเกษตรกรรม เพื่อให้ IOM สามารถควบคุมดูแลการจัดจ้างแรงงานโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะประกันว่าแรงงานไทยจะไม่ถูกบังคับให้จ่ายค่านายหน้าในการจัดหางานเพื่อไปทำงานในอิสราเอลที่สูงมากและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อมีการนำระบบดังกล่าวมาใช้แล้ว แรงงานที่มีการจัดจ้างภายใต้การสนับสนุนจาก IOM เท่านั้น จึงจะได้รับการอนุญาตให้เข้าทำงานในอิสราเอลในฐานะแรงงานเกษตร - อนึ่ง เมื่อเดือนมีนาคม 2550 ฝ่ายอิสราเอลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม การค้าและแรงงาน ได้เดินทางเยือนไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดทำเอกสารความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับ IOM และล่าสุด ได้มีการลงนามในเอกสารความร่วมมือดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550 โดยเป็นการลงนามระหว่างอธิบดีกรมการจัดหางานและผู้แทนจาก IOMความตกลงที่สำคัญๆกับไทย2.1 ไทยและอิสราเอลได้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับความตกลงเกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการไทย-อิสราเอล ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 25032.2 ไทยและอิสราเอลได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐอิสราเอล ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2511 และได้แลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐอิสราเอล ลงนามที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 เมษายน – 28 พฤษภาคม 25422.3 ไทยและอิสราเอลได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีที่เก็บจากเงินได้ (Convention between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the State of Israel for the Avoidance of Double Taxation and the Prevention of Fiscal Evasion with Respect to Taxes on Income) ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2539 ซึ่งอนุสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2539 หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารระหว่างกัน2.4 ไทยและอิสราเอลได้ลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตาม คำพิพากษาในคดีอาญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอล (Treaty on Cooperation in the Execution of Penal Sentences between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the State of Israel) ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่13 สิงหาคม 2540 ซึ่งสนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2541 2.5 ไทยและอิสราเอลได้ลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the State of Israel for the Reciprocal Promotion and Protection of Investments) ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 2.6 ไทยและอิสราเอลได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและ รัฐอิสราเอลเกี่ยวกับการจัดทำแปลงสาธิตการเกษตรไทย-อิสราเอลสำหรับการปลูกพืชมูลค่าสูงแบบอาศัยชลประทานบนพื้นที่ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 25452.7 ไทยและอิสราเอลได้ลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยความร่วมมือในสาขาวัฒนธรรมและการศึกษา (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the State of Israel on Cooperation in the Fields of Culture and Education) ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2548</span>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-74301173140353655302009-07-13T09:34:00.000-07:002009-09-26T13:39:56.000-07:00นโยบายต่างประเทศ<div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">อิสราเอลประสบปัญหาความขัดแย้งกับประเทศอาหรับเพื่อนบ้านมาโดยตลอด ล่าสุดภายหลังจากที่กลุ่ม Hezbollah ในเลบานอนได้จับกุมทหารอิสราเอลไป 2 คน (นาย Ehud Goldwasser และนาย Eldad Regev) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2549 โดยมีเป้าหมายให้อิสราเอลปล่อยตัวนักโทษชาวอาหรับที่อิสราเอลจับกุมไปเป็นจำนวนมาก รัฐบาลอิสราเอลได้ใช้มาตรการทางทหารต่อเลบานอน โดยส่งเครื่องบินโจมตีเลบานอน รวมทั้งกรุงเบรุต และปิดกั้นเลบานอนทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ และสหรัฐฯ ได้กล่าวหาว่า ซีเรียและอิหร่านให้การสนับสนุนกลุ่ม Hezbollah การปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่ายส่งผลให้ชาวเลบานอนเสียชีวิตกว่า 1,000 คน (ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน) และบาดเจ็บหลายพันคน โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเลบานอนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก และชาวเลบานอนไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 700,000 - 900,000 คน โดยมีชาวอิสราเอลเสียชีวิตประมาณ 116 คน (ส่วนใหญ่เป็นทหาร)แม้ว่าอิสราเอล-เลบานอนจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2549 ตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหปหระชาชาติ (UNSC) ที่ 1701 ซึ่งได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2549 และอิสราเอลได้ประกาศยกเลิกการปิดล้อมเลบานอนทางอากาศและทางทะเล เมื่อวันที่ 7กันยายน 2549 ภายหลังการเจรจาระหว่างเลขาธิการสหประชาชาติ อิสราเอล เลบานอน และประเทศตะวันตก โดยอิสราเอลได้ถอนกองกำลังชุดสุดท้ายออกจากเลบานอน เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2549 แต่ยังคงยืนยันสิทธิ์ในการลาดตระเวนทางอากาศเหนือน่านฟ้าและชายฝั่งเลบานอน โดยให้เหตุผลว่า ข้อมติหยุดยิงของสหประชาชาติ (UN) ยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเต็มที่ และกลุ่ม Hezbollah ยังไม่ได้รับการปลดอาวุธตั้งแต่ต้นปี 51 อิสราเอลได้ปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศต่อประเทศอาหรับเพื่อนบ้านอย่างเห็นได้ชัด โดยรัฐบาลอิสราเอลมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น เห็นได้จากการเริ่มเจรจากับซีเรียเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยมีตุรกีเป็นตัวกลาง ในขณะที่ล่าสุด อิสารเอลได้บรรลุข้อตกลงแลกเปลี่ยนตัวประกันกับกลุ่ม Hezbollah ในเลบานอน เป็นผลให้อิสราเอลได้รับร่างของนายทหาร Ehud Goldwasser และ Eldad Regev ซึ่งเสียชีวิตแล้วกลับสู่อิสาราเอล แลกเปลี่ยนกับร่างของนักสู้อาหรับที่เสียชีวิตระหว่างสงครามเลบานอนปี 49 กว่า 200 ศพ รวมถึงปล่อยตัวนาย Samir Kantar นักโทษ Hezbollah ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมในอิสราเอลหลายคดี สำหรับนโยบายต่างประเทศอิสราเอลต่อภูมิภาคเอเชียนั้น รัฐบาลอิสราเอลเล็งเห็นศักยภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคนี้จึงขยายฐานสนับสนุนทางการเมืองของตนตลอดจนขยายลู่ทางการค้าการลงทุนในภูมิภาค โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศและการจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ อันเห็นได้จากการที่อิสราเอลได้เร่งผลักดันการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ ในเอเชียในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นที่ประเทศที่มิใช่มุสลิม อาทิ จีน อินเดีย มองโกเลีย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และศรีลังกา (ช่วงปี 2534 – 2543) นอกจากนี้ อิสราเอลยังดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในการหาลู่ทางขยายการค้าการลงทุนในภูมิภาคเอเชียด้วย อิสราเอลให้ความสำคัญต่อการกระชับความสัมพันธ์กับจีนและอินเดียในฐานะมหาอำนาจแห่งเอเชียและตลาดใหญ่ที่สำคัญของอิสราเอล </span></div>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-76831245496702830132009-07-13T09:28:00.000-07:002009-09-26T13:39:14.428-07:00การเมืองการปกครอง<div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">- อิสราเอลปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกสภา Knesset มีวาระครั้งละ 7 ปี ประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้แก่นาย Shimon Peres ซึ่งได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2550 คณะรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งมีวาระครั้งละ 4 ปี รัฐบาลชุดปัจจุบันมาจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อ 28 มีนาคม 2549 นำโดยนายกรัฐมนตรี Ehud Olmert จากพรรค Kadima ประกอบด้วยรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล จำนวน 5 พรรค คือ 1) Kadima 9 ตำแหน่ง 2) Labour 6 ตำแหน่ง 3) Shas 4 ตำแหน่ง 4) Gil 2 ตำแหน่ง และไม่สังกัดพรรค 1 ตำแหน่ง รวมทั้งสิ้น 22 คน (Yisrael Beiteinu ซึ่งเป็นพรรคนิยมขวามี 2 ตำแหน่ง ลาออก ม.ค. 51 เนื่องจากไม่พอใจนโยบายการเจรจาสันติภาพกับปาเลสไตน์)</span></div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"> </div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">- สมาชิกสภา Knesset ซึ่งทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรและสถาบันทางนิติบัญญัติ ประกอบด้วยสมาชิก 120 คน มีวาระครั้งละ 4 ปี ประกอบด้วยผู้แทนจากพรรคสำคัญ ๆ ดังนี้ 1) Kadima ซึ่งเป็นพรรคสายกลาง 29 ที่นั่ง 2) Labour ซึ่งเป็นพรรคนิยมซ้าย 19 ที่นั่ง 3) Shas ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม (Ultra-orthodox) 12 ที่นั่ง 4) Likud ซึ่งเป็นพรรคนิยมขวาสายกลาง 12 ที่นั่ง 5) Yisrael Beiteinu ซึ่งเป็นพรรคนิยมขวา 11 ที่นั่ง 6) National Union ซึ่งเป็นพรรคนิยมขวา 9 ที่นั่ง และ 7) Gil ซึ่งเป็นพรรคของผู้เกษียณอายุ 7 ที่นั่ง</span></div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"> </div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">- รัฐบาลอิสราเอลให้ความสำคัญสูงสุดต่อนโยบายความมั่นคงภายในประเทศ และการป้องกันภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สินของชาวอิสราเอล ความล้มเหลวของการเจรจาสันติภาพและการลุกฮือด้วยกำลังของชาวปาเลสไตน์ (Intifada) ในปี 2543 ได้นำไปสู่วงจรความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของอิสราเอลเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของปาเลสไตน์ โดยกลุ่มฮามาสเมื่อเดือนมีนาคม 2549 ซึ่งประกาศไม่ยอมรับการมีอยู่ของรัฐอิสราเอล ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์เพิ่มความตึงเครียดขึ้น</span></div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"> </div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">- อนึ่ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2550 กลุ่มฮามาสสามารถยึดครองฐานที่ตั้งของฝ่ายฟาตาห์ทั้งหมดในกาซา ส่งผลให้ประธานาธิบดี Mahmoud Abbas ประกาศกฎอัยการศึก และประกาศถอดถอนนายกรัฐมนตรี Ismail Haniyaa ผู้นำฝ่ายฮามาส และถอดถอนรัฐมนตรีฝ่ายฮามาสทั้งหมด โดยแต่งตั้งนาย Salam Fayyad อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังปาเลสไตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีแทน และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีปาเลสไตน์ชุดใหม่ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มฟาตาห์ทั้งหมด โดยมีฐานที่ตั้งในเขตเวสต์แบงค์ </span></div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"> </div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">- อิสราเอล สหรัฐอเมริกา EU รัสเซีย (กลุ่ม Quartet) OIC และ อียิปต์ มีท่าทีสนับสนุนรัฐบาลปาเลสไตน์ภายใต้กลุ่มฟาตาห์ โดยอิสราเอลได้เริ่มเจรจาสันติภาพอีกครั้งกับประธานาธิบดี Abbas และได้โอนเงินภาษีปาเลสไตน์ที่อิสราเอลยึดไว้คืนให้ 118 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทั้งหมด 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ (ฝ่ายฟาตาห์) 255 คน จากทั้งหมด 11,000 คน รวมทั้ง อภัยโทษให้ผู้ต้องหาปาเลสไตน์หัวรุนแรง ซึ่งประธานาธิบดี Abbas ได้สั่งการให้กลุ่มติดอาวุธฟาตาห์เกือบทั้งหมด 300 คน วางอาวุธ เพื่อเป็นการตอบแทน </span></div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"> </div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">- อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังคงมีความระมัดระวังในการเจรจากับกลุ่มฟาตาห์ โดยยังไม่ละทิ้งข้อเรียกร้องให้กลุ่มฟาตาห์เจรจาให้กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์อื่นๆ ยอมรับเงื่อนไข 3 ประการของกลุ่ม Quartet ได้แก่ (1) การยุติความรุนแรง (2) การยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล และ (3) การยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงสันติภาพที่ผ่านมา</span></div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"> </div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">- อนึ่ง อิสราเอลยังมีท่าทีไม่ไว้วางใจกลุ่มฟาตาห์มากนัก โดยยังไม่ส่งมอบอำนาจการดูแลรักษาความปลอดภัยทั้งหมดในเวสต์แบงค์ให้กลุ่มฟาตาห์ และไม่รื้อถอนจุดตรวจค้นทั้งหมดระหว่างอิสราเอล-เวสต์แบงค์ รวมทั้งยังไม่เร่งรัดที่จะแก้ไขปัญหา final status issues ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของปาเลสไตน์มาโดยตลอด ได้แก่ (1) เขตแดนปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นปัญหา เนื่องจากอิสราเอลยังคงก่อสร้างที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวอิสราเอล และก่อสร้างกำแพงล้อมรอบพื้นที่ ซึ่งปาเลสไตน์ถือเป็นดินแดนปาเลสไตน์ (2) สิทธิการครอบครองนครเยรูซาเล็ม ซึ่งอิสราเอลและปาเลสไตน์ต่างต้องการให้นครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง แต่นครเยรูซาเล็มมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีชุมชนนับถือศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกันมาก ทำให้การแบ่งเส้นเขตแดนยากลำบาก และ (3) ปัญหาผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ อิสราเอลต้องการให้ ผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์กลับเข้าสู่พื้นที่รัฐปาเลสไตน์ในปัจจุบัน ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยเดิมก่อนการอพยพออกจากอิสราเอล- เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 51 นาย Ehud Olmert นรม. ได้ประกาศที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง นรม. และหัวหน้าพรรค Kadima ภายหลังการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค Kadima คนใหม่ (primary) ในวันที่ 17 ก.ย. 51 ซึ่งนาง Tzipi Livni ได้รับชัยชนะเป็นหัวหน้าพรรค Kadima คนใหม่ และนาย Ehud Olmert ได้ยื่นใบลาออกต่อ ปธน. Shimon Peres แล้วเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 51 แต่จะยังคงรักษาการนายกรัฐมนตรีจนกว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ คาดว่า การตัดสินใจลาออกของนาย Olmert เป็นผลมาจากแรงกดดันที่นาย Olmert ได้รับจากฝ่ายต่อต้าน อันเป็นผลมาจากความล้มเหลวของนาย Olmert ในการบริหารจัดการสงครามอิสราเอล-เลบานอน และคดีคอรัปชั่นที่นาย Olmert กำลังถูกสอบสวน</span></div>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-33569003807015652762009-07-13T09:20:00.000-07:002009-09-26T13:38:29.536-07:00ข้อมูลทั่วไปของอิสราเอล<div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">ที่ตั้ง</span><span style="font-size:180%;"> ทวีปเอเชีย โดยอยู่กึ่งกลางระหว่างยุโรป เอเชีย และแอฟริกา </span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">- ทิศเหนือ ติดกับเลบานอน </span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">- ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับซีเรีย</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">- ทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับจอร์แดนแม่น้ำจอร์แดน และ Dead Sea </span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">- ทิศตะวันตก ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน </span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">-ทิศใต้ ติดกับอ่าว Aqaba (Red Sea)</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">- ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ติดกับคาบสมุทรไซนาย อียิปต์</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"> </div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">พื้นที่ </span><span style="font-size:180%;">20,770 ตารางกิโลเมตร (พื้นดิน 20,330 ตารางกิโลเมตรพื้นน้ำ 440 ตารางกิโลเมตร)</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"> </div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">ประชากร </span><span style="font-size:180%;">7.2 ล้านคน โดยมีชาวยิว 5.4 ล้านคน ซึ่งอาศัยในนิคมชาวยิวในเขตเวสต์แบงค์ 187,000 คนในที่ราบสูงโกลาน 20,000 คน และ ในนครเยรูซาเล็มตะวันออก 177,000 คน</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"> </div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">เมืองหลวง</span><span style="font-size:180%;"> กรุงเทลอาวีฟ</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"> </div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">ภาษา </span><span style="font-size:180%;">ภาษา Hebrew และ Arabic เป็นภาษาราชการแต่ประชาชนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดี</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"> </div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">ศาสนา</span><span style="font-size:180%;"> ศาสนายูดายร้อยละ 76.4 มุสลิม ร้อยละ 16 ชาวอาหรับที่เป็นคริสเตียน ร้อยละ 1.7 คริสเตียน ร้อยละ 0.4 ดรูซ ร้อยละ 1.6 และอื่นๆ ร้อยละ 3.9</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"> </div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">หน่วยเงินตรา</span><span style="font-size:180%;"> NIS (New Israeli Shekel) หน่วยย่อยของเงิน NIS เรียกว่า Agorot (1 NIS = 100 Agorot)(3.4 NIS = 1 USD) หรือจะเรียกว่าเงิน เชเคล ก็ได้</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"> </div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">ระบอบการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาประธานาธิบดี</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">นาย Shimon Peres นายกรัฐมนตรี </span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">นาย Ehud Olmert (รักษาการ)</span></div><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204); font-family: verdana;"><span style="font-size:180%;">รมว. กต. นาง Tzipi Livni </span></div>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7050373501004045662.post-75829853236194451582009-07-13T09:04:00.000-07:002009-09-26T13:37:40.042-07:00รัฐอิสราเอล (State of Israel)<div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">รัฐอิสราเอล (State of Israel) </span></div><span style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);font-size:180%;" ><br /></span><div style="font-family: verdana; font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);"><span style="font-size:180%;">ตั้งอยู่ </span><span style="font-size:180%;">ทวีปเอเชีย โดยอยู่กึ่งกลางระหว่างยุโรป เอเชีย และแอฟริกา</span><span style="font-size:180%;"> อิสราเอลปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกสภา Knesset มีวาระครั้งละ 7 ปี และเป็น รัฐยิว</span> </div>เข็มเพชร์http://www.blogger.com/profile/02473624380634614478noreply@blogger.com0