JPost In Jerusalem ข่าวส่งตรงจากเยรูซาเล็มทุกวัน

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประวัติศาตร์ชาติของอิสราเอล

กำเนิดของชาวฮิบรูเริ่มขึ้น เมื่อ 4,000 ปีก่อน

โดยบรรพบุรุษของชาวยิว ชื่ออับราฮัม (อิบรอฮิม) ได้พาครอบครัวของตนอพยพออกมาจากนครเออร์ (ur) ในดินแดนเมโสโปเตเมียของอาณาจักรสุเมเรีย ชื่อเมืองฮาราน เหตุผลที่อับราม(ชื่อเดิมของอับราฮัม)ออกจากเมืองฮาราน เพราะว่าพระเจ้าทรงเรียกอับราม พระเจ้าตรัสกับอับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไปแล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"

ฝ่ายอับรามก็ไปตามพระดำรัสของพระเจ้า
พาครอบครัวออกเดินทางไปยังแผ่นดิน คานาอัน มาถึงภูเขาทางทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล จึ่งตั้งเต้นท์อยู่ที่นั่นให้เมืองเบธเอลอยู่ทางทิศตะวันตกและให้เมืองอัยอยู่ทางทิศตะวันออก ยกเต้นท์เดินทางไปเรื่อยเป็นระยะๆยังเนเกบ

อับรามมีลูกด้วยกันสองคน คนแรกคือ อิชมาเอล (yismael) ที่เกิดกับหญิงทาสชื่อว่า นางฮาการ์ (hagar) คนที่สองคือ อิสอัค (ishak) เกิดกับซาราห์ (sarah) ภรรยาของท่าน ซึ่งเป็นหมัน ที่พระเจ้าที่มีชื่อเรียกว่ายะโฮวา(Jehovah) สัญญาไว้ว่าจะทรงเพิ่มพูนลูกหลานของท่านให้มากมายดั่งเม็ดทรายในทะเล และดวงดาวในท้องฟ้า ผ่านทางนาง

และในกาลถัดมา ได้ปรากฏว่า เชื้อสายของอิชมาเอลที่อพยพไปทางใต้หรือแหลมอาเบีย ได้กลายเป็นต้นตระกูลของชาวอาหรับทั้งหมด ส่วนเชื้อสายของอิสอัคนั้น เป็นต้นตระกูลของชาวอิสราเอลโดยอิสอัคมีลูกด้วยกันสองคนคือ เอซาว(esau) และยาโคบ (jacob)หรืออิสราเอล เพราะพระเจ้าตั้งชื่อให้ใหม่ว่าอิสราเอล


ยาโคบมีลูกด้วยกันสิบสองคนคือ รูเบน ซิเมโอน เลวี ยูดาห์ เศบูลุน อิสสาคาร์ ดาน อาเชอร์ กาด นัฟทาลี โยเซฟ และเบนจามิน โดยเรียกบุตรสิบสองคนนี้ว่า อิสราเอลไลย์ (israeliah)

ต่อมาพวกพี่ชายของโยเซฟได้ขายโยเซฟไปยังอียิปต์ เหตุเพราะความชังและความอิจฉาเรื่องความฝันของโยเซฟ ซึ่งคำทำนายฝันของคนสมัยนั้นบ่งบอกว่า บิดามารดาและพี่น้องจะมาซบหน้าถึงดินกราบไหว้โยเซฟ จึงได้วางแผนกันกำจัด โดยการผลักโยเซฟลงบ่อกลางทะเลทราย และฉีกเสื้อผ้าของเขานำเลือดแพะมาปะพรมไปบอกแก่บิดาว่า โยเซฟได้เสียชีวิตไปเสียแล้วเหตุเพราะหมาป่าฆ่า แล้วก็ขายโยเซฟให้กับพ่อค้าทาสชาวมีเดียน ก่อให้เกิดความโศกเศร้าแก่ยาโคบ หรืออิสราเอลเป็นอย่างมาก

คนมีเดียนก็ขายโยเซฟในอียิปต์ไว้กับโปทิฟาร์ ขุนนางผู้หนึ่งของฟาโรห์ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์

โยเซฟอยู่ในบ้านคนอียิปต์นายของเขา นายก็เห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟและพระเจ้าทรงโปรดให้การงานทุกอย่างที่กระทำเจริญขึ้นมากในมือของโยเซฟ โยเซฟรับใช้ถูกใจนาย นายก็ตั้งให้เป็นผู้ดูแลการงานในบ้านและมอบทรัพย์สิ่งของไว้ในการดูแลของโยเซฟทั้งสิ้น

โยเซฟนั้นเป็นคนหน้าตาคมคาย อยู่มาภายหลังภรรยาของนายมองดูโยเซฟด้วยความปฏิพัทธ์ และชวนว่า "มานอนกับฉันเถิด" แต่โยเซฟไม่ยอม จึงตอบแก่ภรรยาของนายว่า "คิดดูเถิด เมื่อมีข้าพเจ้า นายก็มิได้หวงสิ่งใดซึ่งอยู่ในบ้านเรือนได้มอบของทุกอย่างไว้ในมือข้าพเจ้า ยกเสียแต่ตัวท่านเพราะเป็นภรรยาของนาย ข้าพเจ้าจะทำความผิดใหญ่หลวงนี้อันเป็นบาปต่อพระเจ้าอย่างไรได้" แม้นางชวนโยเซฟวันแล้ววันเล่า โยเซฟก็ไม่ยอมนอนกับนางหรืออยู่ด้วยกัน วันหนึ่ง โยเซฟได้เข้าไปในบ้านเพื่อทำธุรการงานของเขา ไม่มีชายประจำบ้านคนใดอยู่ในนั้น นางก็คว้าเสื้อผ้าโยเซฟเหนี่ยวรั้งไว้แล้วพูดว่า "มานอนกับฉันเถิด"แต่โยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือนางหนีไปข้างนอก เมื่อนางเห็นว่าโยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือของนาง หนีไปข้างนอกแล้ว นางก็ร้องเรียกชายประจำบ้านของตนมาบอกว่า "ดูซิ นายเอาคนชาติฮีบรูมาไว้ทำหยาบคายแก่เรา มันเข้ามาหาจะนอนกับฉัน แต่ฉันร้องเสียงดัง เมื่อมันได้ยินฉันร้องขึ้นมันก็ทิ้งเสื้อผ้าไว้กับฉันหนีไปข้างนอก"

ครั้นนายได้ฟังคำภรรยา ก็โกรธนัก จึงเอาโยเซฟไปจำไว้ในคุกที่ที่ขังนักโทษหลวงโยเซฟก็ต้องจำอยู่ที่นั่น

ต่อมาอีก2ปีเต็มฟาโรห์ทรงสุบินว่าทรงยืนอยู่นิมฝั่งแม่น้ำไนล์ มีโคเจ็ดตัวอ้วนพีน่าดูขึ่นมาจากแม่น้ำไนล์นั้นกินใบอ้ออยู่ แล้วมีโคอีกเจ็ดตัวซูบผอมน่าเกลียดตามขึ้นมาจากฝั่งแม่น้ำไนล์ โคซูบผอมน่าเกลียดก็กินโคอ้วนพีน่าดูเจ็ดตัวนั้นเสียแล้วฟาโรห์ก็ตื่นบรรทม พระองค์ก็บรรทมหลับไปสุบินครั้งที่สองว่า ต้นข้าวต้นเดียวมีรวงเจ็ดรวงเป็นข้าวเมล็ดเต่งงามดี แล้วมีรวงข้าวเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลังเป็นข้าวลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออกรวงข้าวลีบเจ็ดรวงนั้นได้กลืนกินข้าวรวงงามดีนั้นเสีย แล้วฟาโรห์ก็ตื่นบรรทมก็รู้ว่าเป็นพระสุบิน ครั้นเวลารุ่งเช้า พระองค์มีพระทัยเศร้าโศก จึงรับสั่งปราชญ์ทั้งปวงของอียิปต์มาเฝ้า แล้วฟาโรห์ทรงเล่าพระสุบินให้เขาฟัง แต่ไม่มีผู้ใดทูลแก้พระสุบินนั้นแก่ฟาโรห์ได้ ซึ่งในขณะนั้นโยเซฟได้เคยกล่าวอ้างให้ผู้คนในคุกฟังว่า ตนเองสามารถทำนายฝันได้ เขาจึงถูกพาตัวมาเข้าเฝ้าฟาโรห์ และทำนายถึงพระสุบินของพระองค์

โยเซฟจึงทูลฟาโรห์ว่า คือพระเจ้าทรงสำแดงให้ฟาโรห์รู้สิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ จะมีอาหารบริบูรณ์ทั่วทั้งอียิปต์เจ็ดปี หลังจากนั้นจะบังเกิดการกันดารอาหารอีกเจ็ดปี ที่ฟาโรห์สุบินสองครั้งนั้น ก็หมายความว่าสิ่งนั้นพระเจ้ากำหนดไว้แล้วและพระเจ้าจะทรงให้บังเกิดเร็วๆนี้ เพราะฉะนั้นขอฟาโรห์เลือกคนที่มีความคิดดี มีปัญญา ตั้งให้ดูแลประเทศอียิปต์ ขอให้ฟาโรห์ทำดังนี้คือจัดพนักงานไว้ทั่วแผ่นดินแล้วเก็บผลหนึ่งในห้าส่วนแห่งประเทศอียิปต์ไว้ ตลอดเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น ให้คนเหล่านั้นเก็บอาหารในปีที่อุดมเหล่านั้นซึ่งจะมาถึงนั้นไว้ และสะสมข้าวด้วยอำนาจของฟาโรห์ไว้เป็นอาหารในหัวเมือง และให้เขาตุนไว้ อาหารนี้จะได้เป็นเสบียงสำรองในแผ่นดินระหว่างเจ็ดปีที่กันดารอาหาร ซึ่งจะเกิดขึ้นในประเทศอียิปต์ ดังนั้นแผ่นดินจะไม่พินาศเสียไปเพราะกันดารอาหาร

ทำให้ฟาโรห์ทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ดูแลทั่วราชอาณาจักร แต่งตั้งเป็นใหญ่มีอำนาจรองจากฟาโรห์
และเขาได้นำพี่น้องทั้งหมดที่ต้องประสบกับภัยแล้งในคานาอันเข้ามาอยู่อาศัยในแผ่นดินอียิปต์

ครั้นพอสิ้นโยเซฟไป ฟาโรห์องค์ต่อๆมาไม่รู้จักโยเซฟและได้เกิดความไม่ไว้ใจต่อชาวฮีบรู ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จึงได้แยกฮีบรูให้ไปอยู่อีกอาณาเขตหนึ่งห่างจากพวกตน และลดฐานะให้เป็นทาส แล้วเกณฑ์แรงงานไปใช้ในการก่อสร้างพีระมิด อีกทั้งปริมาณประชากรของชาวฮีบรูได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ฟาโรห์ต้องมีคำสั่งให้ประหารชีวิตเด็กเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ามีทารกเพศชายคนหนึ่งรอดตายจากคำสั่งประหารนั้นมาได้ เพราะมารดาได้นำเด็กใส่ตระกร้าลอยน้ำ เจ้าหญิงอียิปต์องค์หนึ่งทรงพบเข้า และนำเขาไปอุปการะ ประทานชื่อว่า โมเสส (Moses) พระนางตรัสว่า"เพราะเราได้ฉุดเขาขึ้นมาจากน้ำ"

โมเสสเติบโตขึ้น เป็นผู้มีสติปัญญาดี และได้รับการศึกษาสูงเยี่ยงเจ้าชายองค์หนึ่ง เขามีจิตเมตตา และสงสารทาสชาวฮีบรูที่ถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้างพีระมิดให้ฟาโรห์ และถูกผู้คุมทำทารุณกรรมต่างๆ จนเผลอพลั้งสังหารผู้คุมคนหนึ่ง เพื่อต้องการช่วยเหลือทาสที่กำลังถูกทารุณ

กาลนั้นเขาได้ละทิ้งตำแหน่งและฐานันดรของตัวเอง มาอยู่กับพวกทาสชาวฮีบรู ทำตามพระบัญชาของพระเจ้าคือพาพวกเขาหลบหนีจากอียิปต์ไปสู่ประเทศปาเลสไตน์ ดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า ที่ทรงประทานให้แก่พวกเขา

ณ ดินแดนแห่งนี้ พระเจ้าได้วางระเบียบสังคมให้กับชาวฮีบรู

1)
ด้านกฎหมาย จัดทำกฎหมายและกำหนดระเบียบการปกครองพวกอิสราเอลไลท์ขึ้น กฎหมายและระเบียบการปกครองดังกล่าว มีสารที่สำคัญคือ ให้ถือว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของชาวอิสราเอลไลท์ พระเจ้าทรงมอบหน้าที่ให้ผู้แทนของพระองค์ (ซึ่งได้มาโดยการเลือกตั้ง) เรียกว่า "ยัดซ์" (Judge) แปลว่า "ผู้วินิจฉัย" ทำหน้าที่เป็นตุลาการพิพากษาคดี แผ่นดินทั้งหมดเป็นสมบัติของพระเจ้า ห้ามซื้อขาย ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับข้อห้ามทางศาสนาจะต้องได้รับโทษอย่างหนัก ผู้กระทำผิดทางอาญาเช่นไร จะต้องได้รับโทษตอบแทนในทำนองเดียวกัน (ตาต่อตาฟันต่อฟัน)

2)
ด้านศาสนา กำหนดให้มีพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวคือ "ยาเวห์" หรือ ยะโฮวา (Yaveh,Yahoveh) พระเจ้าทรงประทานกฎแห่งความประพฤติ (ศีล) แก่ประชาชน 10 ประการ เรียกว่า บัญญัติ 10 ประการ (Ten Commanments)

พวกฮีบรูมีความสามัคคีและมีกำลังเข้มเข็งขึ้น จึงได้ทำการรวบรวมดินแดนโดยรอบ อันได้แก่ ดินแดนของพวกคานัน และพวกอาราเอลไลท์ แต่ก็ถูกรุกรานจากพวกพวกฟิลิเตีย (Philistine) ซึ่งอพยพจากเกาะครีต (Crete) และเข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบชายทะเล ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปาเลสไตน์ และพวกอามอไรท์กับฮิตไตท์จากทางเหนือ

ทำให้อิสราเอลร้องขอกษัตริย์พระเจ้าจึงได้เลือกชายที่เข้มแข็งขึ้นมาผู้หนึ่งชื่อ ซาอูล (Saul) ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรก เมื่อประมาณ 1050 ปี ก่อนคริสตกาล

ต่อมาซาอูลได้ปลงพระชนม์พระองค์เอง ในสงครามระหว่างคนฟิลิสเตียกับชาวอิสราเอล เนื่องจากอิสเอลหนีจากการไล่ล่าของคนฟิลิสเตีย การรบหนักประชิดตัว
ซาอูลเข้าไป นักธนูมาพบพระองค์เข้าพระองค์ก็บาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือนักธนู

พระเจ้าได้เลือกคนเลี้ยงแกะซึ่งมีย่าทวดเป็นชาวโมอับ(อิรักในปัจจุบัน) อดีตข้าราชสำนักของซาอูลมีความสามารถในการดีดพินและในการสงครามกันขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงมีพระนามว่า ดาวิด(David)

ดาวิดทรงครองราชย์ อยู่ระหว่าง 1705-993 ปี ก่อนคริสตกาล สมัยของพระองค์นับได้ว่า เป็นสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของพวกอิสราเอลไลท์ ทรงตีได้นครเยรูซาเล็มของพวกเคนันไนท์(ฟิลิสเตียหรือลูกครึ่งยิวกับคนคนาอัน) และสถาปนาอาณาจักรยูดาห์ (Udah) ขึ้น ณ บริเวณเนินสูงยูเดีย และสมัยนี้เองที่พวกฮิบรูหรืออิสราเอลไลท์ ได้เรียกตัวเองว่า "ยูดาย" หรือ ยิว (Jew)

ครั้นสิ้นรัชสมัยกษัตริย์ดาวิด ซาโลมอน โอรสของกษัตริย์ดาวิดทรงทำให้เยรูซาเลมมั่งคั่งและรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ทรงสร้างวัดและโบสถ์วิหารงดงามขึ้นในอาณาจักรยูดาห์ ทรงทำนุบำรุงศาสนาประจำชาติของยิวให้เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก จากคลังทรัพย์ของดาวิดที่เตรียมไว้ให้ก่อนสิ้นพระชนม์

อย่างไรก็ตาม ปลายรัชกาลของกษัตริย์ซาโลมอนทรงปล่อยให้ลัทธิศาสนาฟินีเซียนและอียิปต์ ซึ่งบูชารูปเคารพและนับถือเทพเจ้าหลายองค์เข้ามา ทำให้ประชาชนทางเหนือพากันรับนับถือเทพเจ้าของลัทธิศาสนาอื่นมากขึ้น

ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ เมื่อ ปี 930 ก่อนคริสต์ศักราช ทำให้อานาจักรของซาโลมอนแตกออกป็นสองส่วนคือ อาณาจักรอิสราเอล (the kingdom of israel) โดยมีกรุงสะมาเรียเป็นเมืองหลวง และอาณาจักรยูดาห์ (the kingdom of judah) โดยมีเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลาง

350 ปีต่อมา อาณาจักรทั้งสองต้องล่มสลายไป โดยอาณาจักรที่ล่มสลายไปแห่งแรกคือ อาณาจักรอิสราเอล ถูกยึดครองโดยพวกอัสซีเรีย (assyrian) ในปี 721 ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งนำโดยกษัตริย์ซาร์กอนที่ 2 และกวาดต้อนชาวยิวไปยังบาบิโลนแต่กษัตริย์ซาร์กอน ไม่ได้บุกยึดอาณาจักรยูดาห์ เพราะอาณาจักรยูดาห์ได้ทำการจ่ายภาษี และส่งเครื่องบรรณาการมาแทน

ต่อมา ปี 587 ก่อนคริสต์ศักราช อาณาจักรยูดาห์ต้องล่มสลายตามไป โดยเนบูคัดเนสซาร์แห่งอาณาจักรเคลเดียมีชัยต่ออัสซีเรีย จึงตัดสินใจบุกอาณาจักยูดาห์ต่อ เขาได้ทำลายวิหารยะโฮวาห์ และกวาดต้อนชาวอาณาจักรยูดาห์ไปยังบาบิโลนและให้อิสระแก่ยิวในการประกอบกิจทางศาสนา และจัดให้อยู่เป็นนิคมยิว (the jewish dispora) จึงทำให้ยิวสามารถรักษาสภาพเป็นยิวและภาษาของตัวเองได้

ต่อมาปี 538 ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าไซรัส (king cyrus) แห่งเปอร์เซียมีชัยต่ออัลคาเดียน จึงได้ปลดปล่อยชาวยิว 50,000คน กลับเยรูซาเล็ม ทำให้ยิวมีอาณาจักรของตัวเองอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ด้วยในปี 332 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวยิวได้ตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช(alexander) ที่มีชัยต่อเปอร์เซียในการเข้าบุกยึดดินแดน

จนกระทั่งปี 129 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวยิวได้มีอิสระกลับคืนมาอีกครั้ง แต่ในปี 63 คริสต์ศักราช ชาวยิวก็กลับเข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันแทนกรีก ทำให้ชาวยิวลำบากมากขึ้น เพราะโรมันได้นำเอารูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ มาวางไว้ในวิหารยะโฮวาห์ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวยิวที่นับถือพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ทำให้ชาวยิวถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ และถูกปราบปรามด้วยการประหารมากมาย

ต่อมา ปี ค.ศ 313-636 ชาวยิวตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกไบแซนไทน์ (byzantine) ที่นับถือคริสต์ ไบแซนไทน์ได้สร้างโบถส์คริสต์หลายแห่งแถวโบถส์ยิวและกาลิลีจนกระทั่งได้จำกัดชาวยิวให้เข้าไปในเยรูซาเล็มได้บางวันเท่านั้น ทำให้ยิวคิดก่อการกบฏ โดยยิวได้พยายามติดต่อพวกเปอร์และเป็นสายลับให้แก่เปอร์ จนกระทั่งเปอร์มีชัยเหนือไบแซนไทน์ในปี ค.ศ. 614 แต่เป็นเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นที่ยิวมีอิสระ

หลังจากนั้นยิวตกอยู่ภายใต้ไบแซนไทน์อีกครั้ง จึงทำให้ยิวถูกเนรเทศเกือบทั้งหมดและบางส่วนถูกฆ่า ยิวได้อพยพไปยังแอฟริกา ยุโรป เปอร์เซียแลและแหลมอาระเบียต่อมาปี ค.ศ 632 ยิวตกอยู่ภายใต้อาณาจักอิสลาม ที่ได้ให้อิสระแก่ยิวในการนับถือศาสนาในฐานะพลเมือง ยิวบางส่วนได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามแทนทน แต่ก็มีจำนวนมากที่ยังคงเป็นยิว และอยู่ร่วมกับมุสลิมได้อย่างสงบสุข

ในปี ค.ศ.1897 อิสเอลได้รวมกลับมาเป็นชาติอีกครั้งหนึ่ง รัฐอิสราเอลก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1947หลังอำนาจของอังกฤษเหนือปาเลสไตน์สิ้นสุดลง ขณะที่ฝ่ายปาเลสไตน์กลับมองวันสถาปนารัฐอิสราเอลว่าเป็นเสมือนวันแห่งความเศร้าสลดและหายนะสำหรับชาวปาเลสไตน์ เนื่องจากเป็นวันแห่งการสูญเสียบ้านเรือนและดินแดนให้แก่รัฐ "ยิว" และชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนต้องอพยพไปอยู่ต่างแดน

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

JPost Israel ข่าวส่งตรงจากอิสราเอลทุกวัน